การประยุกต์ใช้ ของ หลักระวังไว้ก่อน

การประยุกต์ใช้หลักนี้จำกัดโดยการขาดความแน่วแน่ทางการเมือง และการตีความมากมายหลายอย่างเกี่ยวกับหลักงานศึกษาหนึ่งพบการตีความของหลัก 14 อย่างในบทความทั้งที่เป็นสนธิสัญญาและไม่ใช่[10]ในปี 2545 นักวิชาการผู้หนึ่งแบ่งการตีความเหล่านี้ออกเป็นหลัก ๆ 4 อย่าง คือ[11]

  1. ความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เป็นตัวห้ามการควบคุมกิจกรรมที่เสี่ยงสร้างความเสียหายสำคัญอย่างอัตโนมัติ (Non-Preclusion PP - หลักไม่ห้ามการควบคุม)
  2. การควบคุมดูแลของรัฐควรจะมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย กิจกรรมต่าง ๆ ควรจะจำกัดให้อยู่ในระดับต่ำกว่าขีดที่สังเกตเห็นผลที่ไม่พึงประสงค์ หรือที่พยากรณ์ว่าจะมี (Margin of Safety PP - หลักส่วนเผื่อความปลอดภัย)
  3. กิจกรรมที่มีโอกาสอันตรายที่สำคัญแม้ไม่แน่นอน ควรจะอยู่ภายใต้กฎบังคับเทคโนโลยีที่เข้มงวดที่สุดที่มีอยู่ เพื่อจำกัดโอกาสอันตรายยกเว้นถ้าผู้เสนอการกระทำจะแสดงว่า ไม่มีความเสี่ยงเป็นอันตรายในระดับที่วัดได้ (BAT PP - หลักกฎบังคับที่เข้มงวด)
  4. กิจกรรมที่มีความเสี่ยงอันตรายที่สำคัญแม้ไม่แน่นอน ควรจะห้ามยกเว้นถ้าผู้เสนอการกระทำจะแสดงว่า ไม่มีความเสี่ยงเป็นอันตรายในระดับที่วัดได้ (Prohibitory PP - หลักห้าม)

ในการตัดสินใจว่าจะใช้หลักนี้อย่างไร อาจสามารถใช้การวิเคราะห์โดยค่าใช้จ่าย-ประโยชน์ (cost-benefit analysis) ที่รวมองค์ประกอบต่าง ๆ รวมทั้งค่าเสียโอกาส (opportunity cost) ที่จะไม่ทำอะไร และค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีโอกาสทำในอนาคต (option value) ถ้ารอข้อมูลเพิ่มก่อนที่จะทำการใด ๆความยากลำบากในการประยุต์ใช้หลักนี้ในการออกนโยบายของรัฐก็คือ บ่อยครั้งเป็นเรื่องขัดแย้งที่ลงกันไม่ได้ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ทำให้การอภิปรายต้องอาศัยกระบวนการทางการเมือง ซึ่งอาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด

แบบแข็งและแบบอ่อน

หลักแบบแข็งถือว่า การควบคุมเป็นเรื่องจำเป็นเมื่อมีโอกาสเสี่ยงต่อสุขภาพ ความปลอดภัย หรือสิ่งแวดล้อม แม้ว่า หลักฐานที่สนับสนุนว่าเสี่ยงอาจจะยังไม่ชัดเจน และค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจเพื่อควบคุมป้องกันสูง[12]:1295-96ในปี 2525 กฎบัตรเพื่อธรรมชาติแห่งโลก (World Charter for Nature) ของสหประชาชาติให้การยอมรับหลักแบบแข็งในระดับสากลโดยกล่าวว่า "เมื่อโอกาสได้ผลที่ไม่พึงประสงค์ยังไม่ชัดเจน การกระทำเช่นนั้น ๆ ไม่ควรให้ดำเนินการต่อไป"ส่วนงานประชุมนักพิทักษ์สิ่งแวดล้อมในปี 2541 (Wingspread Declaration) ที่สื่อเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ก็ใช้หลักแบบแข็งเช่นเดียวกัน[13]หลักแบบแข็งอาจจะคิดได้ว่าเป็นหลัก "ไม่เสียใจภายหลัง" โดยที่ไม่สนใจเรื่องค่าใช้จ่ายในการป้องกัน

ส่วนหลักแบบอ่อนถือว่า การไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ห้ามการควบคุมป้องกันถ้าความเสียหายหนักและแก้ไขไม่ได้[14]:1039และมนุษย์ก็มีปฏิบัติการแบบอ่อนทุก ๆ วัน ที่บ่อยครั้งมีค่าใช้จ่าย เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายที่ไม่แน่นอน เช่น เราไม่ไปในที่เปลี่ยว ๆ เป็นอันตรายในเวลากลางคืน เราออกกำลังกาย เราใช้เครื่องตรวจควันไฟ และเราคาดเข็มขัดนิรภัย[13]

ตามกระทรวงการคลังของประเทศนิวซีแลนด์

แบบอ่อนของ[หลัก] มีข้อบังคับน้อยที่สุดและอนุญาตให้ทำการป้องกันเมื่อมีความไม่แน่นอน แต่ไม่ได้บังคับให้ทำ (เช่น ปฏิญญารีโอ 1992 และกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 1992)เพื่อที่จะแสดงว่าถึงขีดอันตราย ก็จะต้องมีหลักฐานเกี่ยวกับโอกาสเกิดและระดับความเสียหายที่จะเกิดบางรูปแบบแต่ไม่ใช่ทุกอัน ให้พิจารณาค่าใช้จ่ายของการป้องกันล่วงหน้าแบบอ่อนไม่ได้ห้ามการชั่งดุลระหว่างประโยชน์และค่าใช้จ่ายองค์ประกอบอื่น ๆ นอกจากความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์รวมทั้งสถานะทางเศรษฐกิจ อาจจะเป็นเหตุอันสมควรที่จะผัดผ่อนการกระทำ (การป้องกัน) ออกไปในแบบอ่อน การต้องมีเหตุผลเพื่อที่จะทำ ตกเป็นหน้าที่ของผู้ที่เสนอให้ทำการป้องกันและไม่มีการกำหนดความรับผิดชอบให้แก่กลุ่มต่าง ๆ เมื่อสิ่งแวดล้อมเสียหาย...ส่วนแบบแข็งให้เหตุผลหรือบังคับให้ทำการป้องกันและบางรูปแบบก็กำหนดความรับผิดชอบเมื่อสิ่งแวดล้อมเสียหายด้วยซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นรูปแบบแข็งของ "คนก่อพิษเป็นผู้รับผิดชอบ"ยกตัวอย่างเช่น กฎบัตรโลก (Earth Charter) กำหนดว่า "เมื่อความรู้จำกัดก็ให้ใช้วิธีแบบระวังไว้ก่อน ให้การพิสูจน์ตกเป็นหน้าที่ของผู้ที่อ้างว่า การกระทำที่เสนอจะไม่สร้างปัญหาเป็นสำคัญ และให้ความผิดตกเป็นของผู้ที่เป็นเหตุเมื่อเกิดความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม"การกลับหน้าที่การพิสูจน์ บังคับให้ผู้ที่เสนอการกระทำพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือเทคโนโลยี ปลอดภัยก่อนที่จะให้อนุมัติการบังคับให้มีข้อพิสูจน์ว่าจะไม่มีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมก่อนที่จะให้ดำเนินการ แสดงนัยว่า สาธารณชนไม่ยอมรับความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมโดยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะมีประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือสังคมเพียงไร (Peterson, 2006)ถ้าทำแบบสุด ๆ ข้อบังคับเช่นนี้อาจจะห้ามการกระทำและสารที่มีโอกาสเสี่ยงอันตรายอย่างเป็นหมวด ๆ (Cooney, 2005)ตามเวลาที่ผ่านไป หลักป้องกันไว้ก่อนที่พบในปฏิญญารีโอได้ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นรูปแบบแข็ง ที่จำกัดการพัฒนาเมื่อไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าสิ่งนั้นจะไม่มีผลเป็นอันตราย[15]

ข้อตกลงและปฏิญญานานาชาติ

กฎบัตรเพื่อธรรมชาติแห่งโลก (World Charter for Nature) ซึ่งยอมรับโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปี 2525 เป็นการยอมรับอย่างเป็นสากลครั้งแรกของกฎระวังไว้ก่อนและมีผลในสนธิสัญญานานาชาติเป็นครั้งแรกในพิธีสารมอนทรีออล (Montreal Protocol) ในปี 2530และพบในสนธิสัญญาและปฏิญญานานาชาติอื่น ๆ รวมทั้ง ปฏิญญารีโอว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (Rio Declaration on Environment and Development) ในปี 2535

โดยเป็นหลักหรือโดยเป็นวิธี

นักวิชาการท่านหนึ่งสรุปความแตกต่างของการใช้เป็นหลักหรือการใช้เป็นวิธีไว้ว่า

การแนะนำหลักระวังไว้ก่อนจะไม่สมบูร์ณถ้าไม่กล่าวถึงความแตกต่างกันระหว่าง "หลัก" หรือ "วิธี" ระวังไว้ก่อนหลักที่ 15 ของปฏิญญารีโอกำหนดว่า"เพื่อที่จะป้องกันรักษาสิ่งแวดล้อม ประเทศสมาชิกจะประยุกต์ใช้วิธีการแบบระวังไว้ก่อนอย่างกว้างขวางที่สุดตามความสามารถของตน เมื่อมีภัยที่หนักหรือว่าเสียหายแบบแก้ไม่ได้ การไม่มีความแน่นอนสมบูรณ์ทางวิทยาศาสตร์ จะไม่อาจใช้เป็นเหตุผลเพื่อผัดผ่อนปฏิบัติการที่คุ้มค่ากับต้นทุนเพื่อป้องกันความเสื่อมของสิ่งแวดล้อม"ดังที่การ์เซีย (1995) ได้ชี้ "การเรียงความเช่นนี้ แม้ว่าจะคล้ายกับที่พบในหลัก แตกต่างอย่างละเอียดอ่อน คือ (1) ข้อความยอมรับว่าอาจจะมีความแตกต่างทางสมรรถภาพของประเทศในการประยุกต์ใช้วิธีนี้ และ (2) มันเรียกร้องให้มีการใช้ทุนอย่างมีประสิทธิผลในการประยุกต์ใช้วิธี คือ ให้พิจารณาค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจและทางสังคม" คำว่า "วิธีการ" พิจารณาว่าเป็นการผ่อนผันการใช้เป็น "หลัก"...ดังที่ Recuerda ได้ตั้งข้อสังเกต ความแตกต่างระหว่าง "หลักระวังไว้ก่อน" และ "วิธีระวังไว้ก่อน" ซึมกระจายไปทั่ว และในบางบริบท เป็นเรื่องก่อความขัดแย้งในการต่อรองปฏิญญาสากล ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ต่อต้านการใช้คำว่า "หลัก" เพราะว่า คำนี้มีความหมายพิเศษในภาษากฎหมาย เพราะคำว่า "หลักกฎหมาย" หมายถึงตัวกฎหมายซึ่งหมายความว่า นี่เป็นเรื่องบังคับ ดังนั้น ศาลอาจจะยกเลิกหรือคงยืนการตัดสินใจโดยประยุกต์ใช้หลักระวังไว้ก่อนในบริบทเช่นนี้ หลักระวังไว้ก่อนไม่ใช่เป็นแค่ไอเดียหรือสิ่งที่ต้องการเพียงเท่านั้น แต่เป็นตัวกฎหมายเองและนี่ก็เป็นสถานะทางกฎหมายของหลักระวังไว้ก่อนในสหภาพยุโรปด้วยโดยเปรียบเทียบกันแล้ว "วิธีการ" ไม่มีความหมายเช่นเดียวกัน แม้ว่าในบางกรณี กฎหมายก็อาจจะบังคับให้ใช้วิธีการดังนั้น วิธีระวังไว้ก่อนจึงเป็น "เลนส์" ส่องหาความเสี่ยงอันหนึ่ง ที่คนที่ระมัดระวังทุกคนมี[16]

คณะกรรมาธิการยุโรป

ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543 คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้เผยแพร่สารเกี่ยวกับหลักระวังไว้ก่อน[8]ที่คณะกรรมาธิการได้ยอมรับวิธีการประยุกต์ใช้แนวคิดเช่นนี้ แต่ไม่ได้ให้นิยามอย่างละเอียดเกี่ยวกับมันคือ วรรคที่ 2 ของมาตรา 191 ของสนธิสัญญาลิสบอน (Lisbon Treaty) กำหนดว่า

นโยบายของสหภาพในเรื่องสิ่งแวดล้อมตั้งเป้าเพื่อให้มีการป้องกันในระดับสูงโดยพิจารณาถึงความต่าง ๆ กันในสถานการณ์ในเขตต่าง ๆ ของสหภาพ นโยบายมีมูลฐานอยู่ที่หลักระวังไว้ก่อนและหลักที่ว่า การป้องกันควรจะทำ ว่าความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมจะต้องแก้ที่แหล่งกำเนิดก่อน และบุคคลที่สร้างความเสียหายต้องรับผิดชอบ[17]

หลังจากที่คณะกรรมธิการยุโรปได้ยอมรับนโยบายต่าง ๆ ก็เริ่มใช้หลักระวังไว้ก่อน รวมทั้งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในปี 2006 หลักได้รวมอยู่ในกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้งความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์โดยทั่ว ๆ ไป การใช้สารแต่งเติมในอาหารสัตว์ การเผาขยะ และการควบคุมสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม[18]:282-83และเพราะเป็นการใช้ในระบบกฎหมายที่ถือเอาคำพิพากษาก่อนเป็นบรรทัดฐาน มันจึงกลายเป็น "หลักทั่วไปของกฎหมายสหภาพยุโรป"[18]:283

สหรัฐอเมริกา

ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2548 ซานฟรานซิสโกได้ผ่านข้อบัญญัติการจัดซื้อโดยหลักระวังไว้ก่อน[19]ซึ่งบังคับให้เทศบาลเมืองต้องชั่งดุลความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเมื่อจัดซื้อของทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดไปจนถึงคอมพิวเตอร์

ญี่ปุ่น

ในปี 2540 ประเทศญี่ปุ่นพยายามใช้หลักระวังไว้ก่อนในการสู้คดีเกี่ยวกับสนธิสัญญา Agreement on the Application of Sanitary and Phytosanitary Measures คือมีการฟ้องคดีเรื่องการควบคุมของญี่ปุ่นที่บังคับให้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์การเกษตรนำเข้าหลายอย่าง (รวมทั้งแอปเปิล เชอร์รี ลูกท้อ วอลนัต เอพริคอต สาลี่ พลัม และลูกควินซ์) เพื่อป้องกันไม่ให้มีผีเสื้อกลางคืนพันธุ์ "Cydia pomonella" (codling moth)เพราะว่า ผีเสื้อกลางคืนพันธ์นี้เป็นศัตรูพืชที่ไม่มีใประเทศ และการนำผีเสื้อเข้าประเทศอาจจะทำให้เกิดความเสียหายหนักส่วนสหรัฐอเมริกาอ้างว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบผลไม้ทุกอย่างว่าได้รับการบำบัดที่มีประสิทธิผลแล้วหรือไม่ และข้อบังคับเช่นนี้เป็นภาระมากเกินไป

ออสเตรเลีย

คดีที่สำคัญที่สุดในศาลออเสตรเลียที่ผ่านมาเพราะมีการพิจารณาหลักระวังไว้ก่อนอย่างละเอียดลออที่สุด ผ่านการไต่สวนในศาลเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2549ซึ่งศาลสรุปหลักโดยอ้างกฎหมายที่ออกในปี 2534 ที่มีนิยามของหลักระวังไว้ก่อนว่า

ถ้ามีความเสี่ยงความเสียหายหนักและแก้ไขไม่ได้ต่อสิ่งแวดล้อมการขาดความแน่นอนทางวิทยาศาสตร์แบบสมบูรณ์ไม่ควรใช้เป็นเหตุผลที่จะผัดผ่อนการกระทำเพื่อป้องกันความเสื่อมทางสิ่งแวดล้อมและในการประยุกต์ใช้หลักนี้... การตัดสินใจควรจะทำตามแนวทางนี้คือ(i) การประเมินที่ระมัดระวังเพื่อจะหลีกเลี่ยงเท่าที่ทำได้ ความเสียหายที่หนักหรือแก้ไขไม่ได้ต่อสิ่งแวดล้อม และ(ii) การประเมินผลของทางเลือกต่าง ๆ โดยดุลกับความเสี่ยง

ประเด็นที่สำคัญที่สุดของการตัดสินของศาลก็คือ

  1. หลักและความจำเป็นที่จะทำการเพื่อป้องกัน จะลั่นไกเมื่อเกิดสถานการณ์สองอย่างก่อนคือ ภัยของความเสียหายหนักหรือแก้ไขไม่ได้ และความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์ว่าจะเสียหายแค่ไหน
  2. และเมื่อลั่นไกแล้ว "การทำการป้องกันไว้ก่อนที่ควรแก่เหตุ สามารถทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงภัยความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่คาดหวัง แต่ต้องทำให้สมกับเหตุ"
  3. ภัยของความเสียหายที่หนักหรือแก้ไขไม่ได้ต้องพิจารณาองค์ 5 คือ ขอบเขตของภัย (เช่นเฉพาะพื้นที่ ทั้งภูมิภาค เป็นต้น) คุณค่าของสิ่งแวดล้อมที่มีภัยตามที่รู้ได้ ผลกระทบที่ว่าสามารถบริหารจัดการได้หรือไม่ ระดับความเป็นห่วงของสาธารณชน และมีมูลทางทางวิทยาศาสตร์หรือเหตุผลหรือไม่สำหรับความเป็นห่วงในเรื่องนั้น
  4. การพิจารณาระดับความแน่นอนทางวิทยาศาสตร์ควรจะมีองค์การตัดสินรวมทั้ง อะไรเป็นหลักฐานที่เพียงพอ ระดับและประเภทของความแน่นอน และความเป็นไปได้ที่จะลดความไม่แน่นอน
  5. หลักนี้จะกลับหน้าที่ในการพิสูจน์ คือถ้าหลักผ่านเกณฑ์ให้ประยุกต์ใช้ หน้าที่การพิสูจน์จะเปลี่ยน คือ "ผู้ตัดสินใจต้องสมมุติว่า ภัยของความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่หนักหรือแก้ไขไม่ได้เป็น...ความจริง [และ]หน้าที่แสดงว่าภัยเช่นนี้...มีแค่เล็กน้อยกลับตกเป็นของผู้ที่เสนอ"
  6. หลักนี้ เรียกร้องให้ทำการป้องกัน คือ "หลักอนุญาตให้ทำการป้องกันโดยไม่ต้องรอให้รู้จักภัยหรือความสาหัสของภัยอย่างเต็มที่"
  7. หลักระวังไว้ก่อนไม่ควรใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทุกอย่าง
  8. การป้องกันแบบระวังไว้ก่อนที่สมควรขึ้นอยู่กับผลรวมของ "ระดับความเสียหายกับระดับการแก้ไม่ได้ของภัย และระดับความไม่แน่นอน... ภัยยิ่งหนักเท่าไรหรือไม่แน่นอนเท่าไร... การป้องกันก็จะต้องมีเพิ่มขึ้นเท่านั้น... การป้องกันควรทำ... ให้สมควรกับภัยที่มีโอกาสเสี่ยง"

ฟิลิปปินส์

ในปี 2556 กลุ่มกรีนพีซเอเชียอาคเนย์และกลุ่มเกษตรกร-นักวิทยาศาสตร์ Masipag ได้ร้องขอให้ศาลอุทธรณ์หยุดการปลูกมะเขือยาวดัดแปรพันธุกรรมแบบ Bt ในแปลงทดสอบ โดยอ้างว่า ผลของพืชทดสอบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อพืชธรรมดา และต่อสุขภาพมนุษย์ยังไม่ชัดเจนศาลอุทธรณ์ตกลงให้ตามคำเรียกร้อง โดยอ้างหลักระวังไว้ก่อนคือ"เมื่อกิจกรรมของมนุษย์อาจเป็นภัยเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่หนักหรือแก้ไขไม่ได้ ที่เป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์แม้จะไม่แน่นอน ควรจะปฏิบัติการเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดทอนภัยนั้น"[20]

ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่สองครั้งในปีเดียวกัน แต่ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้การตัดสินใจเบื้องต้นคงยืนโดยกล่าวว่า แปลงทดสอบละเมิดสิทธิบุคคลตามรัฐธรรมมนูญที่จะมี "ระบบนิวเวศน์ที่สมดุลและดี"[21][22]ต่อมาศาลสูงสุดจึงตัดสินในปี 2558 ให้หยุดการทดสอบมะเขือยาว Bt อย่างถาวร ให้ข้อตัดสินของศาลอุทธรณ์คงยืน[23]โดยเป็นศาลแรกในโลกที่ใช้หลักนี้ในการตัดสินคดีเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม

บริษัท

มีบริษัทเครื่องสำอางในสหราชอาณาจักรบริษัทหนึ่งที่เริ่มใช้หลักนี้ในการใช้สารเคมีในผลิตภัณฑ์ในปี 2549[24]

สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

ประเด็นปัญหาต่าง ๆ ในโลกที่อาจจะเกี่ยวข้องกับหลักระวังไว้ก่อนรวมทั้ง

หลักระวังไว้ก่อนมักจะใช้ในด้านชีวภาพเพราะว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่สามารถจำกัดได้ง่ายและมีโอกาสที่จะมีผลต่อทั้งโลกแต่จำเป็นน้อยกว่าในบางสาขาเช่นทางอากาศยานศาสตร์ ที่คนไม่กี่คนที่เสี่ยงได้ให้ความยินยอมที่ประกอบด้วยความรอบรู้แล้ว (เช่น นักบินทดสอบ)ในเรื่องของนวัตกรรมทางเทคโนโลยี การจำกัดผลที่เกิดอาจจะยากขึ้นถ้าเทคโนโลยีนั้นสามารถสร้างก๊อปปี้ของตนเองได้ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทซันไมโครซิสเต็มส์บิล จอย เน้นอันตรายของเทคโนโลยีพันธุกรรม นาโนเทคโนโลยี และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่สร้างก๊อปปี้ของตนเองได้ในบทความของเขาว่า "ทำไมอนาคตไม่จำเป็นต้องมีเรา (Why the future doesn't need us)"การประยุกต์ใช้หลักนี้สามารถเห็นได้ในนโยบายของรัฐ ที่บังคับให้บริษัทผลิตยาทำการทดลองทางคลินิกเพื่อที่จะแสดงว่า ยาใหม่นั้นปลอดภัยนักปรัชญาประจำมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตซูเปอร์ฉลาดในอนาคต และความเสี่ยงที่เรามีถ้ามันพยายามที่จะควบคุมสสารระดับอะตอม[25]

การใช้หลักนี้เปลี่ยนสถานะของนวัตกรรมและการประเมินความเสี่ยงคือมันไม่ใช่ความเสี่ยงเองที่ต้องแก้หรือหลีกเลี่ยง แต่แม้โอกาสของความเสี่ยงก็จะต้องป้องกันดังนั้น ในกรณีเรื่องการควบคุมงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่เรื่องแค่ระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับผู้ควบคุม มันยังมีบุคคลที่สามร่วมด้วยก็คือผู้บริโภค

ในประเด็นการประยุกต์ใช้หลักระวังไว้ก่อนกับนาโนเทคโนโลยี นักวิชาการคู่หนึ่งเสนอว่ามีหลักอยู่สองแบบ ซึ่งพวกเขาเรียกว่า "แบบเข้ม" และ "แบบเชิงรุก"แบบเข้ม "บังคับให้ไม่ทำอะไรถ้าการกระทำเป็นความเสี่ยง" ในขณะที่แบบเชิงรุกหมายถึง "การเลือกทางเลือกที่เสี่ยงน้อยกว่าถ้ามี และการมีผู้รับผิดชอบต่อความเสี่ยงที่มี"[26]มีนักวิชาการที่เสนอให้ประยุกต์ใช้หลักระวังไว้ก่อนแบบเข้มสำหรับองค์กรที่ควบคุมดูแลเกี่ยวกับสารเคมีและเทคโนโลยีสุขภาพ โดยเฉพาะในเรื่องการใช้อนุภาคนาโนของ Ti02 และ ZnO ในสารกันแดด การใช้เงินนาโนในแหล่งน้ำ และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่การผลิต การจัดการ หรือการแปรใช้ใหม่ จะทำให้มนุษย์เสี่ยงต่อการได้รับท่อนาโนคาร์บอนทางลมหายใจ[27]

การจัดการทรัพยากร

สัญนิยมที่ใช้สีของไฟจราจร แสดงแนวคิดของกฎควบคุมการตกปลา (Harvest Control Rule) ที่กำหนดว่าเมื่อไรถึงจุดที่ต้องฟื้นสภาพประชากรของปลาใหม่โดยใช้หลักระวังไว้ก่อน แนวตั้งแสดงมวลชีวภาพ และแนวนอนแสดงอัตราการตายของปลา

ทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างเช่นประชากรปลา ปัจจุบันเริ่มมีการจัดการโดยใช้วิธีระวังไว้ก่อน เช่นกฎควบคุมการตกปลา (Harvest Control Rules)ภาพแสดงหลักที่ใช้ในการจัดการควบคุมการตกปลาค็อด ดังที่เสนอโดยสภาการสำรวจทะเลนานาชาติ (International Council for the Exploration of the Sea)

ในการจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ การใช้หลักระวังไว้ก่อนหมายความว่าถ้าสงสัยว่าสิ่งมีชีวิตเช่นนี้มีสถานะการอนุรักษ์เช่นไร ก็ควรจะใช้ระดับการป้องกันสูงสุดสำหรับสิ่งมีชีวิตนั้นดังนั้น สปีชีส์เช่นนกเขาพันธุ์ Columba argentina (silvery pigeon) ซึ่งอาจจะมีจริง ๆ เป็นจำนวนหนึ่ง เพียงแต่มีการบันทึกจำนวนน้อยเกินไป หรืออาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว จะไม่จัดว่า "ข้อมูลไม่พอ" หรือ "สูญพันธุ์ไปแล้ว" (ซึ่งหมวดทั้งสองไม่ต้องทำการป้องกันอะไร) แต่จัดว่า "เสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์" (ซึ่งเป็นสถานะอนุรักษ์ที่ต้องทำการป้องกันระดับสูงสุด)เปรียบเทียบกับนกกิ้งโครงพันธุ์ Lamprotornis iris (emerald starling) ที่จัดว่า "ข้อมูลไม่พอ"เพราะว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องทำงานวิจัยเพื่อเคลียร์สถานะของมันแทนที่จะทำการป้องกันไม่ให้สูญพันธุ์[ต้องการอ้างอิง]

อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ถ้ามีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่คนจำนวนมากใช้เป็นน้ำดื่ม แล้วเกิดปนเปื้อนด้วยเชื้อโรค (เช่น e-coli 0157 H7) และแหล่งกำเนิดการปนเปื้อนสงสัยอย่างสำคัญว่ามาจากวัวนม แต่ว่ายังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ให้ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน ก็ควรจะเอาวัวออกจากสิ่งแวดล้อมเช่นนั้นจนกระทั่งอุตสาหกรรมนมวัวพิสูจน์ได้ว่า วัวไม่ใช่แหล่งกำเนิด หรือจนกระทั่งอุตสาหกรรมทำการให้มั่นใจได้ว่า การปนเปื้อนจะไม่มีอีกในอนาคต

ใกล้เคียง

หลักระวังไว้ก่อน หลักรังนกพิราบ หลักสูตร หลักการใช้กำลัง หลักสูตรออกแบบตกแต่งภายในในประเทศไทย หลักเกณฑ์การถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมันแบบถ่ายเสียงของราชบัณฑิตยสถาน หลักฐานโดยเรื่องเล่า หลักเกณฑ์การทับศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานและสำนักงานราชบัณฑิตยสภา หลักการอิสลาม หลักฐานเชิงประสบการณ์

แหล่งที่มา

WikiPedia: หลักระวังไว้ก่อน http://law.anu.edu.au/StaffUploads/236-Nanoethics%... http://goliath.ecnext.com/coms2/gi_0199-2593495/Th... http://linkinghub.elsevier.com/retrieve/pii/S0160-... http://books.google.com/books/about/Lies_Damned_Li... http://books.google.com/books/about/The_Beginning_... http://books.google.com/books?id=e4vjoqgeaIMC&pg http://www.maxmore.com/perils.htm http://www.municode.com/Resources/gateway.asp?pid=... http://networkedblogs.com/7erBW http://www.nickbostrom.com/ethics/ai.html