เมนูนำทาง
หลักระวังไว้ก่อน การประยุกต์ใช้การประยุกต์ใช้หลักนี้จำกัดโดยการขาดความแน่วแน่ทางการเมือง และการตีความมากมายหลายอย่างเกี่ยวกับหลักงานศึกษาหนึ่งพบการตีความของหลัก 14 อย่างในบทความทั้งที่เป็นสนธิสัญญาและไม่ใช่[10]ในปี 2545 นักวิชาการผู้หนึ่งแบ่งการตีความเหล่านี้ออกเป็นหลัก ๆ 4 อย่าง คือ[11]
ในการตัดสินใจว่าจะใช้หลักนี้อย่างไร อาจสามารถใช้การวิเคราะห์โดยค่าใช้จ่าย-ประโยชน์ (cost-benefit analysis) ที่รวมองค์ประกอบต่าง ๆ รวมทั้งค่าเสียโอกาส (opportunity cost) ที่จะไม่ทำอะไร และค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีโอกาสทำในอนาคต (option value) ถ้ารอข้อมูลเพิ่มก่อนที่จะทำการใด ๆความยากลำบากในการประยุต์ใช้หลักนี้ในการออกนโยบายของรัฐก็คือ บ่อยครั้งเป็นเรื่องขัดแย้งที่ลงกันไม่ได้ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ทำให้การอภิปรายต้องอาศัยกระบวนการทางการเมือง ซึ่งอาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด
หลักแบบแข็งถือว่า การควบคุมเป็นเรื่องจำเป็นเมื่อมีโอกาสเสี่ยงต่อสุขภาพ ความปลอดภัย หรือสิ่งแวดล้อม แม้ว่า หลักฐานที่สนับสนุนว่าเสี่ยงอาจจะยังไม่ชัดเจน และค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจเพื่อควบคุมป้องกันสูง[12]:1295-96ในปี 2525 กฎบัตรเพื่อธรรมชาติแห่งโลก (World Charter for Nature) ของสหประชาชาติให้การยอมรับหลักแบบแข็งในระดับสากลโดยกล่าวว่า "เมื่อโอกาสได้ผลที่ไม่พึงประสงค์ยังไม่ชัดเจน การกระทำเช่นนั้น ๆ ไม่ควรให้ดำเนินการต่อไป"ส่วนงานประชุมนักพิทักษ์สิ่งแวดล้อมในปี 2541 (Wingspread Declaration) ที่สื่อเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ก็ใช้หลักแบบแข็งเช่นเดียวกัน[13]หลักแบบแข็งอาจจะคิดได้ว่าเป็นหลัก "ไม่เสียใจภายหลัง" โดยที่ไม่สนใจเรื่องค่าใช้จ่ายในการป้องกัน
ส่วนหลักแบบอ่อนถือว่า การไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ห้ามการควบคุมป้องกันถ้าความเสียหายหนักและแก้ไขไม่ได้[14]:1039และมนุษย์ก็มีปฏิบัติการแบบอ่อนทุก ๆ วัน ที่บ่อยครั้งมีค่าใช้จ่าย เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายที่ไม่แน่นอน เช่น เราไม่ไปในที่เปลี่ยว ๆ เป็นอันตรายในเวลากลางคืน เราออกกำลังกาย เราใช้เครื่องตรวจควันไฟ และเราคาดเข็มขัดนิรภัย[13]
ตามกระทรวงการคลังของประเทศนิวซีแลนด์
|
กฎบัตรเพื่อธรรมชาติแห่งโลก (World Charter for Nature) ซึ่งยอมรับโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปี 2525 เป็นการยอมรับอย่างเป็นสากลครั้งแรกของกฎระวังไว้ก่อนและมีผลในสนธิสัญญานานาชาติเป็นครั้งแรกในพิธีสารมอนทรีออล (Montreal Protocol) ในปี 2530และพบในสนธิสัญญาและปฏิญญานานาชาติอื่น ๆ รวมทั้ง ปฏิญญารีโอว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (Rio Declaration on Environment and Development) ในปี 2535
นักวิชาการท่านหนึ่งสรุปความแตกต่างของการใช้เป็นหลักหรือการใช้เป็นวิธีไว้ว่า
|
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543 คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้เผยแพร่สารเกี่ยวกับหลักระวังไว้ก่อน[8]ที่คณะกรรมาธิการได้ยอมรับวิธีการประยุกต์ใช้แนวคิดเช่นนี้ แต่ไม่ได้ให้นิยามอย่างละเอียดเกี่ยวกับมันคือ วรรคที่ 2 ของมาตรา 191 ของสนธิสัญญาลิสบอน (Lisbon Treaty) กำหนดว่า
|
หลังจากที่คณะกรรมธิการยุโรปได้ยอมรับนโยบายต่าง ๆ ก็เริ่มใช้หลักระวังไว้ก่อน รวมทั้งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในปี 2006 หลักได้รวมอยู่ในกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้งความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์โดยทั่ว ๆ ไป การใช้สารแต่งเติมในอาหารสัตว์ การเผาขยะ และการควบคุมสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม[18]:282-83และเพราะเป็นการใช้ในระบบกฎหมายที่ถือเอาคำพิพากษาก่อนเป็นบรรทัดฐาน มันจึงกลายเป็น "หลักทั่วไปของกฎหมายสหภาพยุโรป"[18]:283
ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2548 ซานฟรานซิสโกได้ผ่านข้อบัญญัติการจัดซื้อโดยหลักระวังไว้ก่อน[19]ซึ่งบังคับให้เทศบาลเมืองต้องชั่งดุลความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเมื่อจัดซื้อของทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดไปจนถึงคอมพิวเตอร์
ในปี 2540 ประเทศญี่ปุ่นพยายามใช้หลักระวังไว้ก่อนในการสู้คดีเกี่ยวกับสนธิสัญญา Agreement on the Application of Sanitary and Phytosanitary Measures คือมีการฟ้องคดีเรื่องการควบคุมของญี่ปุ่นที่บังคับให้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์การเกษตรนำเข้าหลายอย่าง (รวมทั้งแอปเปิล เชอร์รี ลูกท้อ วอลนัต เอพริคอต สาลี่ พลัม และลูกควินซ์) เพื่อป้องกันไม่ให้มีผีเสื้อกลางคืนพันธุ์ "Cydia pomonella" (codling moth)เพราะว่า ผีเสื้อกลางคืนพันธ์นี้เป็นศัตรูพืชที่ไม่มีใประเทศ และการนำผีเสื้อเข้าประเทศอาจจะทำให้เกิดความเสียหายหนักส่วนสหรัฐอเมริกาอ้างว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบผลไม้ทุกอย่างว่าได้รับการบำบัดที่มีประสิทธิผลแล้วหรือไม่ และข้อบังคับเช่นนี้เป็นภาระมากเกินไป
คดีที่สำคัญที่สุดในศาลออเสตรเลียที่ผ่านมาเพราะมีการพิจารณาหลักระวังไว้ก่อนอย่างละเอียดลออที่สุด ผ่านการไต่สวนในศาลเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2549ซึ่งศาลสรุปหลักโดยอ้างกฎหมายที่ออกในปี 2534 ที่มีนิยามของหลักระวังไว้ก่อนว่า
|
ประเด็นที่สำคัญที่สุดของการตัดสินของศาลก็คือ
ในปี 2556 กลุ่มกรีนพีซเอเชียอาคเนย์และกลุ่มเกษตรกร-นักวิทยาศาสตร์ Masipag ได้ร้องขอให้ศาลอุทธรณ์หยุดการปลูกมะเขือยาวดัดแปรพันธุกรรมแบบ Bt ในแปลงทดสอบ โดยอ้างว่า ผลของพืชทดสอบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อพืชธรรมดา และต่อสุขภาพมนุษย์ยังไม่ชัดเจนศาลอุทธรณ์ตกลงให้ตามคำเรียกร้อง โดยอ้างหลักระวังไว้ก่อนคือ"เมื่อกิจกรรมของมนุษย์อาจเป็นภัยเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่หนักหรือแก้ไขไม่ได้ ที่เป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์แม้จะไม่แน่นอน ควรจะปฏิบัติการเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดทอนภัยนั้น"[20]
ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่สองครั้งในปีเดียวกัน แต่ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้การตัดสินใจเบื้องต้นคงยืนโดยกล่าวว่า แปลงทดสอบละเมิดสิทธิบุคคลตามรัฐธรรมมนูญที่จะมี "ระบบนิวเวศน์ที่สมดุลและดี"[21][22]ต่อมาศาลสูงสุดจึงตัดสินในปี 2558 ให้หยุดการทดสอบมะเขือยาว Bt อย่างถาวร ให้ข้อตัดสินของศาลอุทธรณ์คงยืน[23]โดยเป็นศาลแรกในโลกที่ใช้หลักนี้ในการตัดสินคดีเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
มีบริษัทเครื่องสำอางในสหราชอาณาจักรบริษัทหนึ่งที่เริ่มใช้หลักนี้ในการใช้สารเคมีในผลิตภัณฑ์ในปี 2549[24]
ประเด็นปัญหาต่าง ๆ ในโลกที่อาจจะเกี่ยวข้องกับหลักระวังไว้ก่อนรวมทั้ง
หลักระวังไว้ก่อนมักจะใช้ในด้านชีวภาพเพราะว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่สามารถจำกัดได้ง่ายและมีโอกาสที่จะมีผลต่อทั้งโลกแต่จำเป็นน้อยกว่าในบางสาขาเช่นทางอากาศยานศาสตร์ ที่คนไม่กี่คนที่เสี่ยงได้ให้ความยินยอมที่ประกอบด้วยความรอบรู้แล้ว (เช่น นักบินทดสอบ)ในเรื่องของนวัตกรรมทางเทคโนโลยี การจำกัดผลที่เกิดอาจจะยากขึ้นถ้าเทคโนโลยีนั้นสามารถสร้างก๊อปปี้ของตนเองได้ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทซันไมโครซิสเต็มส์บิล จอย เน้นอันตรายของเทคโนโลยีพันธุกรรม นาโนเทคโนโลยี และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่สร้างก๊อปปี้ของตนเองได้ในบทความของเขาว่า "ทำไมอนาคตไม่จำเป็นต้องมีเรา (Why the future doesn't need us)"การประยุกต์ใช้หลักนี้สามารถเห็นได้ในนโยบายของรัฐ ที่บังคับให้บริษัทผลิตยาทำการทดลองทางคลินิกเพื่อที่จะแสดงว่า ยาใหม่นั้นปลอดภัยนักปรัชญาประจำมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตซูเปอร์ฉลาดในอนาคต และความเสี่ยงที่เรามีถ้ามันพยายามที่จะควบคุมสสารระดับอะตอม[25]
การใช้หลักนี้เปลี่ยนสถานะของนวัตกรรมและการประเมินความเสี่ยงคือมันไม่ใช่ความเสี่ยงเองที่ต้องแก้หรือหลีกเลี่ยง แต่แม้โอกาสของความเสี่ยงก็จะต้องป้องกันดังนั้น ในกรณีเรื่องการควบคุมงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่เรื่องแค่ระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับผู้ควบคุม มันยังมีบุคคลที่สามร่วมด้วยก็คือผู้บริโภค
ในประเด็นการประยุกต์ใช้หลักระวังไว้ก่อนกับนาโนเทคโนโลยี นักวิชาการคู่หนึ่งเสนอว่ามีหลักอยู่สองแบบ ซึ่งพวกเขาเรียกว่า "แบบเข้ม" และ "แบบเชิงรุก"แบบเข้ม "บังคับให้ไม่ทำอะไรถ้าการกระทำเป็นความเสี่ยง" ในขณะที่แบบเชิงรุกหมายถึง "การเลือกทางเลือกที่เสี่ยงน้อยกว่าถ้ามี และการมีผู้รับผิดชอบต่อความเสี่ยงที่มี"[26]มีนักวิชาการที่เสนอให้ประยุกต์ใช้หลักระวังไว้ก่อนแบบเข้มสำหรับองค์กรที่ควบคุมดูแลเกี่ยวกับสารเคมีและเทคโนโลยีสุขภาพ โดยเฉพาะในเรื่องการใช้อนุภาคนาโนของ Ti02 และ ZnO ในสารกันแดด การใช้เงินนาโนในแหล่งน้ำ และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่การผลิต การจัดการ หรือการแปรใช้ใหม่ จะทำให้มนุษย์เสี่ยงต่อการได้รับท่อนาโนคาร์บอนทางลมหายใจ[27]
ทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างเช่นประชากรปลา ปัจจุบันเริ่มมีการจัดการโดยใช้วิธีระวังไว้ก่อน เช่นกฎควบคุมการตกปลา (Harvest Control Rules)ภาพแสดงหลักที่ใช้ในการจัดการควบคุมการตกปลาค็อด ดังที่เสนอโดยสภาการสำรวจทะเลนานาชาติ (International Council for the Exploration of the Sea)
ในการจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ การใช้หลักระวังไว้ก่อนหมายความว่าถ้าสงสัยว่าสิ่งมีชีวิตเช่นนี้มีสถานะการอนุรักษ์เช่นไร ก็ควรจะใช้ระดับการป้องกันสูงสุดสำหรับสิ่งมีชีวิตนั้นดังนั้น สปีชีส์เช่นนกเขาพันธุ์ Columba argentina (silvery pigeon) ซึ่งอาจจะมีจริง ๆ เป็นจำนวนหนึ่ง เพียงแต่มีการบันทึกจำนวนน้อยเกินไป หรืออาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว จะไม่จัดว่า "ข้อมูลไม่พอ" หรือ "สูญพันธุ์ไปแล้ว" (ซึ่งหมวดทั้งสองไม่ต้องทำการป้องกันอะไร) แต่จัดว่า "เสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์" (ซึ่งเป็นสถานะอนุรักษ์ที่ต้องทำการป้องกันระดับสูงสุด)เปรียบเทียบกับนกกิ้งโครงพันธุ์ Lamprotornis iris (emerald starling) ที่จัดว่า "ข้อมูลไม่พอ"เพราะว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องทำงานวิจัยเพื่อเคลียร์สถานะของมันแทนที่จะทำการป้องกันไม่ให้สูญพันธุ์[ต้องการอ้างอิง]
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ถ้ามีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่คนจำนวนมากใช้เป็นน้ำดื่ม แล้วเกิดปนเปื้อนด้วยเชื้อโรค (เช่น e-coli 0157 H7) และแหล่งกำเนิดการปนเปื้อนสงสัยอย่างสำคัญว่ามาจากวัวนม แต่ว่ายังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ให้ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน ก็ควรจะเอาวัวออกจากสิ่งแวดล้อมเช่นนั้นจนกระทั่งอุตสาหกรรมนมวัวพิสูจน์ได้ว่า วัวไม่ใช่แหล่งกำเนิด หรือจนกระทั่งอุตสาหกรรมทำการให้มั่นใจได้ว่า การปนเปื้อนจะไม่มีอีกในอนาคต
เมนูนำทาง
หลักระวังไว้ก่อน การประยุกต์ใช้ใกล้เคียง
หลักระวังไว้ก่อน หลักรังนกพิราบ หลักสูตร หลักการใช้กำลัง หลักสูตรออกแบบตกแต่งภายในในประเทศไทย หลักเกณฑ์การถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมันแบบถ่ายเสียงของราชบัณฑิตยสถาน หลักฐานโดยเรื่องเล่า หลักเกณฑ์การทับศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานและสำนักงานราชบัณฑิตยสภา หลักการอิสลาม หลักฐานเชิงประสบการณ์แหล่งที่มา
WikiPedia: หลักระวังไว้ก่อน http://law.anu.edu.au/StaffUploads/236-Nanoethics%... http://goliath.ecnext.com/coms2/gi_0199-2593495/Th... http://linkinghub.elsevier.com/retrieve/pii/S0160-... http://books.google.com/books/about/Lies_Damned_Li... http://books.google.com/books/about/The_Beginning_... http://books.google.com/books?id=e4vjoqgeaIMC&pg http://www.maxmore.com/perils.htm http://www.municode.com/Resources/gateway.asp?pid=... http://networkedblogs.com/7erBW http://www.nickbostrom.com/ethics/ai.html