ประวัติ ของ อองซานซูจี

ชีวิตช่วงแรก

อองซานซูจีในวัย 6 ปี

อองซานซูจี เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2488ย่างกุ้ง พม่าของอังกฤษ (British Burma) [2] บิดาของเธอ นายพลอองซาน ผู้ได้รับการสนับสนุนจากประเทศญี่ปุ่น ช่วยให้ญี่ปุ่นยึดพม่าจากสหราชอาณาจักรได้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีข้อแลกเปลี่ยนกับทางญี่ปุ่นให้แต่งตั้งตนเป็นนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ดี นายพล ออง ซาน ถูกลอบสังหารเมื่อ วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 เมื่อเธอได้อายุได้ 2 ปี ดอว์ขิ่นจี ผู้เป็นภรรยาของนายพลอองซาน ต้องรับภาระเลี้ยงดูบุตรชายหญิง 3 คนโดยลำพังหลังจากสามีถูกลอบสังหาร ซูจีเป็นลูกคนเล็ก และเป็นบุตรสาวคนเดียวของครอบครัว ภายหลังบิดาเสียชีวิตไม่นาน พี่ชายคนรองของเธอประสบอุบัติเหตุ จมน้ำตายในบริเวณบ้านพัก ซูจีและพี่ชายคนโตคือ อองซาน อู เติบโตมากับการดูแลของมารดา ที่เข้มแข็ง และความเอ็นดูของเครือข่ายอำนาจเก่าของบิดา

พ.ศ. 2503 ดอว์ขิ่นจี ได้รับการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งทูตพม่า ประจำประเทศอินเดีย ซูจีถูกส่งเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมและวิทยาลัยสตรีศรีราม ที่นิวเดลี จากนั้นไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ การเมือง และปรัชญาที่เซนต์ฮิวส์คอลเลจ ในสหราชอาณาจักร ระหว่างปี พ.ศ. 2507-2510 ช่วงที่ศึกษาอยู่นั้น ซูจีได้พบรักกับ ไมเคิล อริส นักศึกษาสาขาวิชาอารยธรรมทิเบต

ปีเดียวกันกับที่ซูจีจบการศึกษา ดอว์ขิ่นจี หมดวาระในตำแหน่งทูตประจำประเทศอินเดีย และย้ายกลับไปยังย่างกุ้ง ซูจีจึงแยกจากมารดาเพื่อเดินทางไปมหานครนิวยอร์ก ตามคำชักชวนของเพื่อนบิดา ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการขององค์การสหประชาชาติในขณะนั้น คือ นายอูถั่น ซึ่งเป็นชาวพม่า ซูจีเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยเลขานุการ ในคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการตั้งคำถามเกี่ยวกับงบประมาณและการจัดการของสำนักงานเลขาธิการ องค์การสหประชาชาติ

เดือนมกราคม พ.ศ. 2515 ซูจีแต่งงานกับ ไมเคิล อริส และย้ายไปอยู่กับสามี ที่ราชอาณาจักรภูฏาน ซูจีได้งานในกระทรวงต่างประเทศของรัฐบาลภูฏาน ขณะที่ไมเคิลมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการแปล รวมทั้งมีหน้าที่ถวายการสอนแก่สมาชิกราชวงศ์แห่งภูฏาน ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2516-2520 ทั้งสองย้ายกลับมาที่กรุงลอนดอน ไมเคิลได้งานสอนวิชาหิมาลัย และทิเบตศึกษาที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซูจีให้กำเนิดบุตรชายคนแรก อเล็กซานเดอร์ ในปี พ.ศ. 2516 และบุตรชายคนเล็ก คิม ในปี พ.ศ. 2520 นอกจากใช้เวลากับการเลี้ยงดูบุตรชายทั้งสองแล้ว ซูจีเริ่มทำงานเขียนเกี่ยวกับชีวประวัติของบิดาจากความทรงจำของตนเองโดยมิต้องอาศัยเอกสารหลักฐานใดๆ

พ.ศ. 2528-2529 ซูจี และไมเคิลตัดสินใจแยกจากกันระยะหนึ่ง[ต้องการอ้างอิง] ซูจีได้รับการติดต่อจากศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต เพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของบิดาของเธอ ขณะที่ไมเคิลได้รับทุนจาก Indian Institute of Advanced Studies ที่ซิมลา (Simla) ทางภาคตะวันออกของอินเดีย ซูจีพาคิม บุตรชายคนเล็กไปญี่ปุ่นด้วย ส่วนไมเคิลได้พาอเล็กซานเดอร์ บุตรชายคนโตไปอยู่ด้วยที่อินเดีย ปีต่อมาไมเคิลประสานงานภายใน Indian Institute of Advanced Studies เพื่อให้ซูจีได้รับทุนสนับสนุนเช่นกัน ซูจีจึงพาคิมมาสมทบกับสามีที่ซิมลา ประเทศอินเดีย

พ.ศ. 2530 ไมเคิลย้ายครอบครัวกลับมาอยู่ที่ออกซฟอร์ด ซูจีเข้าศึกษาต่อที่ London School of Oriental and African Studies ที่กรุงลอนดอน เธอได้แสดงความสนใจในการศึกษาเกี่ยวกับวรรณคดีพม่า

กลับบ้านเกิดเพื่อสานความฝันในการปกครองพม่าของบิดา

ปลายเดือน มีนาคม พ.ศ. 2531 อองซานซูจี ในวัย 43 ปี เดินทางกลับบ้าน เกิดที่ย่างกุ้ง เพื่อมาเยี่ยมนางดอว์ขิ่นจี มารดา ในขณะนั้นเป็นช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และมีความวุ่นวายทางการเมืองในพม่ากดดันให้นายพลเนวินต้องลาออกจากตำแหน่งประธานพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า (The Burma Socialist Programme Party-BSPP) ที่ยึดอำนาจการปกครอง ประเทศพม่ามานานถึง 26 ปี เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ตอนที่ดิฉันเดินทางกลับมาพม่าเมื่อ พ.ศ. 2531 เพื่อมาพยาบาลคุณแม่นั้น ดิฉันวางแผนไว้ว่าจะมาริเริ่ม ทำโครงการเครือข่ายห้องสมุดในนามของคุณพ่อด้วย เรื่องการเมืองไม่ได้อยู่ในความสนใจของดิฉันเลย แต่ประชาชนในประเทศของดิฉันกำลังเรียกร้อง ประชาธิปไตย และในฐานะลูกสาวของพ่อ (นายพลอองซาน) ดิฉันรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ดิฉัน ต้องเข้าร่วมด้วย” [3]

ประชาชนไม่พอใจต่อระบอบเนวิน โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ นั้นสะสมต่อเนื่อง และรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีการปลุกระดมภายหลังจากที่รัฐประกาศยกเลิกการใช้ธนบัตรมูลค่า 25 จัต 35 จัต และ 75 จัต ในเดือน กันยายน พ.ศ. 2530 นักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้งประท้วงด้วยการทำลายร้านค้าหลายแห่ง จนมีเหตุการณ์รุนแรงครั้งสำคัญปะทุขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือน มีนาคม พ.ศ. 2531 หลังเกิดเหตุทะเลาะ วิวาทระหว่างนักศึกษาในร้านน้ำชา และตำรวจจับกุมผู้ก่อเหตุ กลุ่มนักศึกษาได้รวมตัวกันประท้วง ให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา ก่อให้เกิดความไม่พอใจ ในหมู่นักศึกษาประชาชน และขยายไปทั่วประเทศ มีการประท้วงในพื้นที่ต่างๆ จำนวนมาก จนเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่กดดันให้นายพลเนวินต้องประกาศลาออก

การลาออกของนายพลเนวินใน วันที่ 23 กรกฎาคม ตามมาด้วยการชุมนุม เรียกร้องประชาธิปไตย ของนักศึกษา และประชาชนหลายแสนคนในเมืองหลวงย่างกุ้ง และแผ่ขยายไปทั่วประเทศ ในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2531 เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย การประท้วงแผ่ขยายไปทั่วประเทศ

อองซานซูจี เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2531 โดยส่งจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องสิทธิในการขึ้นปกครองประเทศของตนจากความดีความชอบของบิดาผู้ล่วงลับ วันที่ 26 สิงหาคม อองซานซูจี ในขึ้นกล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรก ต่อหน้าฝูงชนที่มาชุมนุมกันที่เจดีย์ชเวดากอง ในย่างกุ้ง โดยต่อมาซูจีเรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย แต่ผู้นำทหารกลับจัดตั้งสภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐ (The State Law and Order Restoration Council : SLORC) ขึ้นแทน และได้ทำการปราบปรามและจับกุมผู้ต่อต้านอีกหลายร้อยคนวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2531 อองซานซูจี ได้ร่วมจัดตั้งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยขึ้น (National League for Democracy: NLD) และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค ชีวิตทางการเมืองของนางอองซานซูจี จึงได้เริ่มต้น นับแต่นั้น

มารดาของซูจี ดอว์ขิ่นจี ซึ่งมีอาการป่วยมานาน ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2531

เกียรติยศ และการจองจำ

รัฐบาลภายใต้กฎอัยการศึก สั่งกักบริเวณซูจีให้อยู่แต่ในบ้านพักเป็นครั้งแรก เวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 ซึ่งต่อมาขยายเป็น 6 ปี และได้จับกุม สมาชิกพรรคจำนวนมากไปคุมขังไว้ที่ คุกอินเส่ง ซูจีประกาศจะอดอาหารเพื่อประท้วง และเรียกร้องขอให้นำสมาชิกพรรคคนอื่นๆ มาอยู่ที่เดียวกันในบ้านพักของเธอ โดยเวลานั้นอเล็กซานเดอร์ และคิมอยู่กับมารดาด้วย ไมเคิลจากอังกฤษมาที่ย่างกุ้ง เพื่อเป็นกำลังใจให้ภรรยา ซึ่งในที่สุด ซูจีมิได้อดอาหารประท้วงโดยอ้างว่ารัฐบาลได้ให้สัญญาแล้วว่าจะปฏิบัติอย่างดีต่อสมาชิกพรรคเอ็นแอลดี ที่ถูกคุมขังไว้ที่คุกอินเส่ง

27 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 แม้ว่าซูจียังคงถูกกักบริเวณอยู่ แต่พรรคเอ็นแอลดี ก็ยังคงได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งทั่วไป รัฐบาลทหารในนามของ “สภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบแห่งรัฐ” ยื่นข้อเสนอการถ่ายโอนอำนาจให้แก่ซูจี โดยให้ซูจียุติบทบาทการปลุกระดมทางการเมือง แต่ซูจีปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว รัฐบาลทหารจึงมีคำสั่งยืดเวลาการกักบริเวณเธอจาก 3 ปี เป็น 5 ปี และเพิ่มอีก 1 ปีในเวลาต่อมา

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2534 คณะกรรมการโนเบลแห่งประเทศนอร์เวย์ ประกาศชื่อ นางอองซานซูจี เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งซูจีไม่ได้เดินทางไปรับรางวัลด้วยตัวเอง เดือนธันวาคม อเล็กซานเดอร์ และคิมจึงบินไปรับรางวัลแทนมารดาที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ อเล็กซานเดอร์กล่าวกับคณะกรรมการและผู้มาร่วมในพิธีว่า “ผมรู้ว่าถ้าแม่มีอิสรภาพและอยู่ที่นี่ในวันนี้ แม่จะขอบคุณพวกคุณพร้อมกับขอร้อง ให้พวกคุณร่วมกันสวดมนต์ ให้ทั้งผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่โยนอาวุธทิ้ง และหันมาร่วมกันสร้างชาติด้วยความเมตตากรุณาและจิตวิญญาณแห่งสันติ”

ต่อมา เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ซูจีประกาศสู่สื่อมวลชนทั้งในพม่าและสื่อนานาชาติ ว่าจะมอบเงินรางวัลจำนวน 1.3 ล้านเหรียญ เพื่อให้รัฐบาลใช้จัดตั้งกองทุนสุขภาพและการศึกษาของประชาชนพม่า จากข่าวดังกล่าวรัฐบาลจึงยกเลิกคำสั่งการกักบริเวณของเธอ ซูจีจึงได้รับอิสรภาพจากการถูกกักบริเวณ อย่างไรก็ดี ในภายหลัง ไม่พบว่ามีหลักฐานการโอนเงินรางวัลดังกล่าวจากนางซูจีเข้ากองทุนฯ แต่อยางใด

การเคลื่อนไหว

อองซานซูจีขณะอยู่ในบ้านพักขนาดใหญ่ของเธอ

การปล่อยตัวจากการกักบริเวณครั้งนี้ ซูจี ได้ปราศรัยต่อฝูงชนที่มาชุมนุมอยู่หน้าบ้านของเธอ และตระเวนหาเสียงในหลายพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งบางพื้นที่จะมีฝูงชนที่ไม่พอใจซูจี พยายามทำร้ายเธอและเพื่อนร่วมคณะ โดยใช้ก้อนหินขว้างปาเข้าใส่รถของเธอจนเสียหาย จากนั้น เมื่อเธอพยายามเดินทางออกจากบ้านพัก จึงมีเจ้าหน้าที่รัฐติดตามไปทุกแห่ง ซูจี จึงให้สัมภาษณ์ต่อสื่มมวลชนว่าเธอยังคงรู้สึกเหมือนถูกติดตามความเคลื่อนไหว ทำให้ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างอิสระ

แนวทางการต่อสู้ทางการเมืองของ ซูจี นั้น เธอปฏิเสธไม่ดำเนินการตามกฎระเบียบการยื่นหนังสือต่อรัฐบาลโดยตรง แต่เลือกที่จะดำเนินการต่อสู้โดยใช้สื่อมวลชนและกระแสสังคมเป็นเครื่องมือ ด้วยการใช้วิธีเขียนจดหมาย เขียนหนังสือ บันทึกวิดีโอเทป เพื่อส่งผ่านข้อเรียกร้องของเธอ ออกมาสู่ประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง ในทุกวิธีเท่าที่สามารถทำได้ เพื่อสร้างแรงกดดันระดับนานาชาติต่อรัฐบาลพม่า โดย เดือน กรกฎาคม 2541 ระหว่างที่เธอเดินทางออกจากย่างกุ้งเพื่อไปพบปะกับสมาชิกพรรคสันนิบาตแห่งชาติ มีการแจ้งให้ผู้สื่อข่าวต่างชาติเข้ามาทำข่าวเธอเพื่อเผยแพร่ไปทั่วโลก โดย ซูจี ประกาศว่าจะทำการนั่งประท้วงอยู่ในรถยนต์ของเธอเอง และเมื่อเดือนสิงหาคม 2541 ขบวนรถของซูจี ถูกสกัดไม่ให้เดินทางไปพบปะสมาชิกพรรคของเธอ ซูจี จึงเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลาถึงหกวัน จนเสบียงอาหารที่เตรียมไปหมด เธอจึงกลับที่พักหลังจากนั้น

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ซูจี และสมาชิกพรรคสันนิบาตแห่งชาติ จะเดินทางเพื่อไปดำเนินกิจกรรมทางการเมือง แต่ถูกสกัดไม่ให้เดินทางออกพ้นชานย่างกุ้ง เนื่องจากตำรวจได้เบาะแสว่ามีฝูงชนกลุ่มหนึ่งวางแผนดักทำร้ายเธอระหว่างทาง ซูจียืนยันที่จะเดินทางต่อโดยใช้วิธีเผชิญหน้ากับตำรวจ ณ จุดที่ถูกสกัดเป็นเวลาถึง 9 วัน จนถึงวันที่ 2 กันยายน สองสัปดาห์ต่อมา ซูจี พร้อมคณะ ผู้นำพรรคฝ่ายค้านเดินทางไปที่สถานีรถไฟ เพื่อซื้อตั๋วโดยสารทางออกจากเมืองย่างกุ้ง แต่มีฝูงชนที่ต่อต้านเธออยู่บริเวณนั้น รัฐบาลจึงได้ส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษ ไปควบคุมตัวเธอกลับบ้านพัก พร้อมทั้งวางกำลังเจ้าหน้าที่ควบคุมจุดต่าง ๆ บนถนนหน้าบ้านพักของนางซูจี

ภายหลังการปราศรัยปลุกระดมมวลชนที่สนับสนุนเธอให้ต่อสู้เพื่อล้มรัฐบาล ซูจี จึงถูกกักบริเวณเป็นครั้งที่สอง เป็นเวลา 18 เดือน ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2543 และได้รับอิสรภาพ จากการกักบริเวณครั้งนี้เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2545 โดยในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2544 ขณะที่ทั่วโลกร่วมกันเฉลิมฉลองวาระครบรอบหนึ่งร้อยปี ของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ พร้อมกับฉลองวาระครบสิบปีที่ซูจี ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ นางอองซานซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ยังคงถูกจำกัดอิสรภาพอยู่ในประเทศพม่า ไม่มีโอกาสเดินทางไปร่วมพิธีเฉลิมฉลองรางวัลเกียรติยศแห่งชีวิตพร้อมกับผู้ได้รับรางวัลคนอื่น ๆ

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ระหว่างที่นางซูจีเดินทางเพื่อพบปะกับประชาชน ในเมืองเดพายิน (Depayin) ทางตอนเหนือของพม่า เกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างมวลชนผู้ไม่พอใจนางซูจีกับกลุ่มผู้สนับสนุนซูจี การปลุกระดมครั้งนี้ทำให้ซูจีถูกสั่งกักบริเวณให้อยู่ในบ้านพักอีกเป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2546

การประท้วงต่อต้านรัฐบาลในพม่า พ.ศ. 2550

การประท้วงที่นำโดยคณะพระภิกษุสงฆ์ แม่ชี นักศึกษาและประชาชน ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2550 จากการปลุกระดมให้เกิดความไม่พอใจต่อการประกาศขึ้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและขึ้นราคาก๊าซหุงต้มของรัฐบาลทหารพม่า การประท้วงเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยมา จนถึงวันที่ 5 กันยายน มีการชุมนุมประท้วงที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองพะโคกกุ ทางตอนกลางของประเทศ เจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุม และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก รวมทั้งพระสงฆ์จำนวน 3 รูป

คณะพระภิกษุ ประกาศ "ปฐม นิคหกรรม" ไม่รับบิณฑบาตจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทหารพม่า ทหาร และครอบครัว และเรียกร้องให้ทางการพม่า ขอโทษองค์กรสงฆ์อย่างเป็นทางการภายในวันที่ 17 กันยายน แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ภิกษุสงฆ์จำนวนหนึ่งจึงเริ่มเข้าร่วมการประท้วงเพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน เมื่อรวมผู้ประท้วงแล้วมากกว่า 1 แสนคน การประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งนี้จึงนับว่าเป็นการประท้วงต่อต้านครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่การประท้วงเมื่อปี พ.ศ. 2531

เมื่อวันเสาร์ที่ 22 กันยายน คณะสงฆ์และประชาชนได้เดินทางไปยังบ้านพักนางอองซานซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งนางอองซานได้ออกมาปรากฏตัวเป็นเวลา 15 นาที โดยการเปิดประตูเล็กของประตูบ้าน พร้อมกับพนมมือไหว้พระสงฆ์ที่กำลังให้พร การปรากฏตัวครั้งนี้นับเป็นการปรากฏตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2546

การละเมิดกฎหมาย พ.ศ. 2552

วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 จอห์น ยัตทอว์ ชายชาวอเมริกัน ได้ว่ายน้ำข้ามทะเลสาบอินยาไปยังบ้านพักของอองซานซูจี และถูกจับกุมเมื่อเขากลับออกมาในอีกสามวันให้หลัง[4] เขาได้พยายามทำแบบเดียวกันเมื่อสองปีก่อน แต่เบนหนีโดยไม่ทราบสาเหตุ[5] ภายหลังเขาอ้างในการไต่สวนว่า เขามีเหตุจูงใจจากนิมิตของพระเจ้าซึ่งประสงค์ให้เขาบอกให้เธอทราบถึงความพยายามลอบสังหารก่อการร้ายที่คุกคาม[6] วันที่ 13 พฤษภาคม ซูจีถูกจับกุมในข้อหาละเมิดเงื่อนไขคำสั่งกักบริเวณของเธอ เพราะอนุญาตให้ชายชาวต่างชาติที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอาศัยอยู่ในบ้านของเธอเป็นเวลาสามวัน ซึ่งเธออาจถูกตัดสินจำคุกจากการละเมิดกฎหมายดังกล่าว[7] การพิจารณาซูจีและคนรับใช้หญิงของเธออีกสองคนเริ่มขึ้นในวันที่ 18 พฤษภาคม โดยมีผู้ประท้วงจำนวนน้อยรวมตัวกันอยู่ด้านนอก[8][9] ทูตและผู้สื่อข่าวถูกห้ามมิให้เข้าร่วมการพิจารณา อย่างไรก็ดี ในโอกาสหนึ่ง ทูตหลายคนจากสิงคโปร์ รัสเซีย ไทย และผู้สื่อข่าวได้รับอนุญาตให้เข้าพบซูจีได้[10] อัยการเดิมมีแผนเรียกพยาน 22 ปาก[11] นอกจากนี้ ยังกล่าวหาจอห์น ยัตทอว์ว่าทำให้พม่าขายหน้า[12] ระหว่างการแก้ต่าง ซูจีแก้ต่างว่าเธอบริสุทธิ์ โดยมีพยานเพียงหนึ่งปาก ขณะที่อัยการสามารถเรียกพยานได้ถึง 14 ปาก ทั้งนี้ ศาลปฏิเสธพยานสองปาก คือ สมาชิกพรรคเอ็นแอลดี ทิน อู และวิน ทิน และอนุญาตให้การแก้ต่างเรียกได้เฉพาะผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายเท่านั้น[13] หัวหน้าตำรวจแห่งชาติภายหลังยืนยันว่า ยัตทอว์เป็น "ผู้กระทำผิดอาญาหลัก" ในคดีที่ฟ้องต่อซูจี[14] ตามข้อมูลในบันทึกช่วยจำ ซูจีต้องฉลองวันเกิดครบรอบ 64 ปีของเธอในเรือนจำ [15]

การจับกุมเธอและการพิจารณาคดีภายหลังได้รับการประณามจากทั่วโลก รัฐบาลพม่าวิจารณ์แถลงการณ์ดังกล่าวอย่างรุนแรง เพราะมันได้สร้าง "ประเพณีอันไม่เป็นที่ยอมรับ"[16] และวิจารณ์ประเทศไทยว่าแทรกแซงกิจการภายในของพม่า[17]

รัฐมนตรีต่างประเทศ ญาณ วิน กล่าวในหนังสือพิมพ์แสงใหม่ของพม่า ว่า เหตุการณ์ดังกล่าว "ถูกแสร้งทำให้เพิ่มแรงกดดันนานาชาติต่อพม่า โดยกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทั้งในและนอกประเทศ ผู้ไม่ปรารถนาจะเห็นความเปลี่ยนแปลงด้านบวกต่อนโยบายของประเทศเหล่านั้นต่อพม่า"[12] เลขาธิการสหประชาชาติ บัน คี มุน สนองต่อการรณรงค์นานาชาติ ด้วยการบินไปยังพม่าเพื่อเจรจา แต่พลเอกอาวุโส ตาน ฉ่วยปฏิเสธคำร้องของเขาทั้งหมด[18]

วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552 การพิจารณาสิ้นสุดลง โดยซูจีถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลาสามปี โทษนี้ได้รับการลดหย่อนโดยผู้ปกครองทหารให้เป็นการกักบริเวณอยู่แต่ในบ้านต่อไปอีก 18 เดือน[19] วันที่ 14 สิงหาคม วุฒิสมาชิกสหรัฐ จิม เว็บบ์ เยือนพม่า เข้าพบหัวหน้ารัฐบาลทหาร พลเอก ตาน ฉ่วย และภายหลังกับซูจี ระหว่างการเข้าพบ เว็บบ์เจรจาการปล่อยตัวยิตทอว์และการส่งตัวออกนอกพม่า[20] หลังคำตัดสินการพิจารณา ทนายความของซูจีว่า ตนจะอุทธรณ์ต่อโทษ 18 เดือน[21] วันที่ 18 สิงหาคม ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บารัก โอบามา ขอให้ผู้นำทหารพม่าปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด รวมทั้งอองซานซูจี[22] ในการอุทธรณ์ อองซานซูจีได้แย้งว่า การพิพากษาลงโทษไม่มีหมาย อย่างไรก็ดี การอุทธรณ์ต่อโทษเดือนสิงหาคมถูกศาลพม่าปฏิเสธเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552 คำตัดสินดังกล่าวหมายความว่า เธอไม่อาจเข้าร่วมในการเลือกตั้งที่กำหนดขึ้นใน พ.ศ. 2553 ครั้งแรกในพม่าในรอบสองทศวรรษ ทนายความของเธอแถลงว่า ทีมกฎหมายของเธอจะอุทธรณ์รอบใหม่ภายใน 60 วัน[23]

ปล่อยตัว

ในวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เธอได้รับการปล่อยตัวจากรัฐบาลทหารพม่า[24] เมื่อวันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน ในปีเดียวกัน เธอได้พบกับบุตรชายคนเล็กครั้งแรก โดยเธอได้รอรับบุตรชายที่สนามบินมิงกะลาดง เธอและบุตรชายได้ปรากฏตัวที่มหาเจดีย์ชเวดากอง เมื่อวันพุธที่ 24 พฤศจิกายน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เธอได้อยู่ร่วมกับครอบครัว แม้จะไม่สมบูรณ์ก็ตาม[25]

ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2555 นางซูจีได้เดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ถูกกักบริเวณเมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยเข้าร่วมประชุมสภาเศรษฐกิจโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออก ที่ประเทศไทย โดยก่อนหน้าการประชุมนางซูจีได้เยี่ยมแรงงานชาวพม่าที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อรับทราบปัญหาต่างๆ และให้กำลังใจแรงงานดังกล่าวด้วย

นอกจากนี้ ซูจี ยังได้เดินทางเพื่อไปตระเวนเยือนยุโรปตลอดเดือนมิถุนายน 2555 โดยนางซูจีเดินทางไปเยือนสวิตเซอร์แลนด์เป็นชาติแรกในยุโรป จากนั้นเดินทางต่อไปยังนอร์เวย์ เพื่อไปรับรางวัลโนเบลสันติภาพด้วยตัวเอง หลังจากได้รับการประกาศชื่อให้เป็นผู้คว้ารางวัลเมื่อหลายสิบปีก่อน จากนั้นจึงตระเวนเดินทางต่อไปยัง ไอร์แลนด์ อังกฤษ และฝรั่งเศส โดยระหว่างเยือนยุโรป นางซูจี กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมองค์การแรงงานระหว่างประเทศ และกล่าวแถลงในรัฐสภาอังกฤษ รวมทั้ง เข้ารับรางวัลด้านสิทธิมนุษยชนขององค์กรนิรโทษกรรมสากล ในกรุงดับลิน ของไอร์แลนด์ จาก โบโน ร็อกสตาร์ชื่อดังคนสนิทของเธอไม่เปิดเผยรายละเอียดการเยือนต่างประเทศของเธอมากนัก โดยกล่าวเพียงว่า เธอต้องพกยากล่อมประสาทไปด้วยจำนวนมาก เพราะเธอเมาเรือและเมาเครื่องบินง่ายมากการเยือนยุโรปของ นางซูจี มีขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งอย่างรุนแรงในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของพม่า ซึ่งเกิดการจลาจล และการเผาบ้านเรือนหลายร้อยหลัง โดยเธอปฏิเสธไม่ขอออกความเห็นในเรื่องดังกล่าว

แหล่งที่มา

WikiPedia: อองซานซูจี http://www.bangkokpost.com/news/asia/144268/burma-... http://www.ft.com/cms/s/0/8e95cfc2-440c-11de-a9be-... http://www.google.com/hostednews/ap/article/ALeqM5... http://www.google.com/hostednews/ap/article/ALeqM5... http://timesofindia.indiatimes.com/news/world/us/O... http://www.nytimes.com/2009/05/08/world/asia/08mya... http://www.time.com/time/world/article/0,8599,1899... http://www.time.com/time/world/article/0,8599,1908... http://online.wsj.com/article/SB124297046869446591... http://news.xinhuanet.com/english/2009-05/24/conte...