ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ ของ อันดับสัตว์ฟันแทะ

การอนุรักษ์

ภาพวาดของหนูขนเสี้ยนและตั้งเป็นสันสีแดง (red crested soft-furred spiny rat) ซึ่งเป็นสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูงพันธุ์เป็นอย่างมาก

ถึงแม้ว่ากลุ่มสัตว์ฟันแทะเป็นกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ไม่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มาก 168 สปีชีส์ใน 126 สกุลของสัตว์ฟันแทะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต้องได้รับการปกป้อง [110] เนื่องจากร้อยละ 76 ของสกุลของอันดับสัตว์ฟันแทะจะมีเพียงแค่หนึ่งสปีชีส์ต่อสกุล ความหลากหลายด้านวงศ์วานวิวัฒนาการอาจจะขาดหายมากถึงแม้ว่าจะมีสัตว์สูญพันธุ์เป็นจำนวนน้อย เนื่องจากไม่มีข้อมูลที่รายละเอียดของสปีชีส์และอนุกรมวิธารที่แม่นยำ การอนุรักษ์ของสัตว์ฟันแทะจึงเน้นส่วนใหญ่ที่ลำดับขั้นที่สูง (เช่น การเน้นที่วงศ์มากกว่าสปีชีส์) และสถานที่สำคัญ[110] หลายสปีชีส์ของหนูข้าวสาร (rice rat) สูญพันธุ์ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 อาจจะมีสาเหตุมาจากการสูญเสียที่อยู่อาศัยและการนำเข้าสัตว์ต่างท้องถิ่น [111] ในประเทศโคลอมเบียเม่นแคระขนสีน้ำตาล (brown hairy dwarf porcupine) ได้ถูกบันทึกว่ามีที่อยู่บนภูเขาเพียงสองที่เมื่อคริสต์ทศวรรษที่ 1920 ในขณะที่หนูขนเสี้ยนและตั้งเป็นสันสีแดง (red crested soft-furred spiny rat) มีเพียงแค่ที่ตั้งแบบฉบับ (type locality) ณ ชายฝั่งทะเลแคริบเบียน ดั้งนั้นสปีชีส์เหล่านี้ถือว่ามีมูลค่าทางระบบนิเวศและชีววิทยามากและควรได้รับการปกป้อง [112] สหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) เขียนไว้ว่า “เราสามารถสรุปได้อย่างแน่นอนแล้วว่าสัตว์ฟันแทะของทวีปอเมริกาใต้อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เป็นอย่างมากเนื่องมาจากการรบกวนสิ่งแวดล้อมและการล่าสัตว์ที่มากเกินไป” [113]

สามสปีชีส์ของสัตว์ฟันแทะที่แพร่กระจายอยู่ทั่วโลกได้แก่ หนูบ้าน หนูหริ่งบ้าน และหนูท้องขาว [114] โดยการแพร่กระจายของสปีชีส์เหล่านี้เกิดเนื่องจากการทำของมนุษย์โดยเฉพาะการล่องเรือช่วงยุคแห่งการสำรวจ ต่อมาด้วยสปีชีส์ที่สี่คือหนูจี๊ด โดยสปีชีส์เหล่านี้เป็นสัตว์ก่อความรำคาญและทำลายระบบนิเวศทั่วโลกตัวอย่างเช่น เมื่อหนูจี๊ดถึงเกาะลอร์ด ฮาว ไอส์แลนด์ (Lord Howe Island) ในช่วงค.ศ. 1918 มากกว่าร้อยล่ะ 40 ของสปีชีส์นกรวมถึงนก Lord Howe fantail สูญพันธุ์ภายในสิบปีหลังจากการมาของหนูจี๊ด [115] เหตุการณ์การทำลายล้างนี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกันบนเกาะมิดเวย์อะทอลล์ (ค.ศ. 1943) และ Big South Cape Island (ค.ศ. 1962) โปรเจกต์การอนุรักษ์ที่ถูกวางแผนเป็นอย่างดีสามารถกำจัดสัตว์ก่อความรำคาญเหล่านี้ออกจากเกาะได้โดยใช้ยาฆ่าสัตว์ฟันแทะชนิดสารกันเลือดแข็งเช่น โบรดิฟาคูม (brodifacoum) [114] แผนการรับมือนี้ถูกใช้ได้อย่างสำเร็จบนเกาะ Lundy ณ สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ โดยคาดการว่ากำจัดหนูบ้านได้ถึง 40,000 ตัว ซึ่งทำให้ประชากรของนกจมูกหลอดเกาะแมน (Manx shearwater) และนกพัฟฟินแอตแลนติก (Atlantic puffin) สามารถฟื้นฟูจากสภาวะใกล้สูญพันธุ์ได้[116][117]

การใช้ประโยชน์

เสื้อคลุมขนชินชิลลาถูกใส่ในงาน Exposition Universelle (ค.ศ. 1900) ณ เมืองปารีส

มนุษย์ใช้ผิวหนังสัตว์เป็นเสื้อผ้ามาเป็นยาวนานเนื่องจากผ้าหนังมีความทนทานสูงและขนช่วยให้ความอบอุ่นได้ [4] คนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาฟอกและเย็บหนังของบีเวอร์เพื่อทำเสื้อคลุม คนยุโรปชื่นชอบคุณภาพของเสื้อคลุมนี้เป็นอย่างมาก จึงทำให้การค้าขายหนังสัตว์ของทวีปอเมริกาเหนือพัฒนาและมีความสำคัญกับคนท้องถิ่นมาก บนทวีปยุโรปขนชั้นในซึ่งที่รู้จักว่า “ขนบีเวอร์” เป็นขนในอุดมคติสำหรับอุสาหกรรมการทำผ้าสักหลาด และได้นำมาทำเป็นหมวกและผ้าประดับ [118][119] ภายหลังนากหญ้าเป็นที่นิยมมากขึ้นสำหรับการผลิตขนสำหรับการทำผ้าสักหลาดในทวีปอเมริกาและยุโรปเนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำกว่า แต่ทว่าเมื่อความนิยมเสื้อผ้าเปลี่ยน วัตถุดิบใหม่มีมากขึ้นและทำให้อุสาหกรรมขนสัตว์นี้ลดตัวลง [120] ชินชิลลามีขนที่นุ่มและลื่นซึ่งทำให้เป็นที่นิยมและมีราคาสูงมากจนกระทั่งประชากรชินชิลลาในป่าเกือบถูกทำลายก่อนที่การเลี้ยงในกรงขังเพื่อขนจะลดการทำลายนี้ [120] ก้านขนและขนชั้นบนของเม่นถูกนำมาใช้เป็นอุปกรณ์ตกแต่งเสื้อผ้าพื้นเมือง ตัวอย่างเช่นขนชั้นบนของเม่นสามารถนำมาทำหมวกโรชของชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ก้านขนหลักอาจจะนำมาย้อมสีและนำมาร้อยตกแต่งเครื่องหนังเช่น ปลอกมีดและกระเป๋าหนัง ผู้หญิงชนเผ่า Lakota จะเก็บก้านขนเม่นโดยการเอาผ้าคลุมตัวเม่นและนำขนเม่นที่ติดมากับผ้าคลุมเพื่อทำผ้า Quillwork [121]

อาหาร

อย่างน้อย 89 สปีชีส์ของสัตว์ฟันแทะซึ่งโดยส่วนใหญ่จากลุ่ม Hystricomorpha เช่นหนูตะเภา อกูติ (agouti) และแคพิบารา ถูกนำมาใช้เป็นอาหาร อย่างน้อย 42 สังคมมีการกินหนูใน ค.ศ. 1985 [122] หนูตะเภาถูกเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารเป็นครั้งแรกเมื่อก่อนคริสตกาลที่ 2500 และเมื่อก่อนคริสตกาลที่ 1500 หนูตะเภาเป็นทรัพยากรเนื้อหลักของจักรวรรดิอินคา ดอร์เมาส์ (dormouse) ถูกเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารโดยคนโรมันในที่พิเศษชื่อว่า "gliraria" หรือกรงขังกลางแจ้งขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดอร์เมาส์ถูกขุนให้อ้วนด้วยวอลนัต เกาลัด และผลต้นโอ๊ก นอกจากนี้แล้วดอร์เมาส์ยังถูกจับจากป่าในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นช่วงที่ดอร์เมาส์อ้วนที่สุด คนโรมันนำดอร์เมาส์ไปย่างและจุ่มในน้ำผึ้งหรือนำมาสอดไส้ด้วยเนื้อหมู ถั่วสน และเครื่องปรุงรสต่าง ๆ แล้วอบ นักวิจัยพบว่าในป่าดิบชื้นแอมะซอนซึ่งเป็นสถานที่มีสัตว์ใหญ่น้อย พาคา (paca) และอกูติ (agouti) เป็นประมาณร้อยละ 39 ของอาหารของคนท้องถิ่น แต่ทว่าเมื่ออยู่ในเขตที่มีสัตว์ใหญ่มาก สัตว์ฟันแทะเหล่านี้เหลือเป็นประมาณร้อยละ 3 ของอาหารของคนท้องถิ่น [122]

หนูตะเภาถูกนำมาใช้เป็นอาหารของเมืองกุสโก ณ ประเทศเปรู เช่น cuy al horno ซึ่งเป็นหนูตะเภาอบ [4][123] เตาอบท้องถิ่นของตนในเขตแอนดีสซึ่งเป็นที่รู้จักว่า qoncha หรือ fogón ถูกสร้างด้วยโคลนและดินโคลน และทำให้แข็งแรงด้วยเส้นฟางข้าวและขนของสัตว์เช่น หนูตะเภา [124] โดยในประเทศเปรู หนูตะเภาถูกเลี้ยงมากกว่า 20 ล้านตัวซึ่งสามารถผลิตเนื้อที่กินได้มากกว่า 64 ล้านชิ้นต่อปี หนูตะเภาถือว่าเป็นแหล่งอาหารยอดเยี่ยมเนื่องจากเนื้อหนูตะเภามีโปรตีนเฉลี่ยร้อยละ 19 [122] มัสคแร็ต (muskrats) เม่น กราวน์ฮ็อก (ground hog) และกระรอกถูกนำมาเป็นอาหารคนในสหรัฐอเมริกา คนชนเผ่านาวาโฮกินแพรรีด็อกโดยการนำมาอบใต้โคลน ในขณะที่คนชนเผ่าพิอุต (Paiute) กินโกเฟอร์ กระรอก และหนู [122]

สัตว์ทดลอง

หนูทดลอง

สัตว์ฟันแทะถูกนิยมใช้เป็นสิ่งมีชีวิตแบบจำลอง [4][125] หนูเผือกกลายพันธุ์ถูกใช้เป็นครั้งแรกเพื่อการงานวิจัยเมื่อ ค.ศ. 1828 และต่อมาเป็นสัตว์ตัวแรกที่ถูกเลี้ยงให้เชื่องด้วยวัตถุประสงค์เพื่องานวิจัย [126] ในปัจจุบันหนูหริ่งบ้านเป็นที่นิยมอย่างมากเพื่อการทดลองและใน ค.ศ.1979 เชื่อว่ามีการนำหนูหริ่งมากกว่า 50 ล้านตัวต่อปีมาใช้ หนูหริ่งบ้านเป็นที่นิยมเนื่องจากมีขนาดเล็ก ออกลูกจำนวนมาก ระยะการตั้งครรภ์สั้น ง่ายต่อการควบคุม และเพราะหนูหริ่งบ้านตอบสนองไวต่อหลายสภาวะและโรคที่เกิดขึ้นในมนุษย์ หนูหริ่งบ้านถูกนำมาใช้ในงานวิจัยสาขาพันธุศาสตร์ ชีววิทยาการเจริญ เซลล์ชีววิทยา วิทยามะเร็ง และภูมิคุ้มกันวิทยา [127] หนูตะเภาเป็นสัตว์ทดลองที่นิยมมากจนกระทั่งเมื่อถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประมาณ 2.5 ล้านตัวถูกใช้ต่อปีในสหรัฐอเมริกาสำหรับการวิจัยในคริสต์ทศวรรษที่ 1960 [128] แต่ทว่าลดลงเป็น 375,000 ตัวต่อปีเมื่อกลางคริสต์ทศวรรษที่ 1990[129] และเหลือเพียงร้อยล่ะ 2 ของสัตว์ทดลองทั้งหมดเมื่อ ค.ศ. 2007[128] หนูตะเภามีบทบาทสำคัญในการคิดค้นทฤษฎีการติดเชื้อจากจุลินทรีย์ (germ theory) ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ผ่านทางงานทดลองของ หลุยส์ ปาสเตอร์ เอมิล รูซ์ (Émile Roux) และโรแบร์ท ค็อค [130] นอกจากนี้แล้วหนูตะเภายังถูกยิงไปยังบนอวกาศหลายครั้ง ครั้งแรกโดยสหภาพโซเวียตเมื่อ 9 มีนาคม ค.ศ.1961 บน Sputnik 9 ซึ่งเป็นดาวเทียมชีวภาพและกลับมาบนโลกอย่างสำเร็จ [131] หนูตุ่นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเดียวเท่านั้นที่รู้จักว่าเป็นสัตว์เลือดเย็น ดั้งนั้นหนูตุ่นจึงถูกใช้เพื่อศึกษาการปรับอุณหภูมิกาย นอกจากนี้หนูตุ่นเป็นสัตว์ที่แปลกเนื่องจากไม่ผลิตสารสื่อประสาท substance P ซึ่งเป็นสาเหตุที่นักวิจัยนำมาใช้ศึกษาเกี่ยวกับความเจ็บปวด [132]

สัตว์ฟันแทะมีความสามารถในการจับกลิ่นที่ไว จึงถูกนำมาใช้โดยมนุษย์เพื่อไว้ตรวจจับกลิ่นหรือสารเคมีที่ต้องการศึกษา [133] Gambian pouched rat สามารถตรวจจับแบคทีเรียก่อวัณโรคได้ดีถึงร้อยล่ะ 86.6 และตรวจว่าไม่มีแบคทีเรียก่อวัณโรคได้ดีถึงร้อยล่ะ 93 นอกจากนี้แล้วยังสามารถนำไปตรวจจับทุ่นระเบิดได้ [134][135] หนูสามารถถูกใช้เพื่อศึกษาเหตุการณ์อันตรายเช่นพื้นที่ประสบภัย และยังสามารถถูกฝึกเพื่อตอบสนองต่อคำสั่งในระยะไกล และยังสามารถโน้มน้าวไปยังที่มีแสงสว่างได้ซึ่งเป็นสถานที่ที่หนูมักหลีกเลี่ยง [136][137][138]

สัตว์เลี้ยง

สัตว์ฟันแทะหลายชนิดเช่น หนูตะเภา[139] แฮมสเตอร์ เจอร์บิล ชินชิลลา หนูเดกู และชิปมังก์ เป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่ายและสามารถเลี้ยงในพื้นที่เล็ก โดยแต่ล่ะสปีชีส์มีลักษณะเฉพาะส่วนตัว[140] ส่วนใหญ่ถูกนำไปเก็บไว้ในกรงขังที่เหมาะสมกับขนาดและมีความต้องการสำหรับพื้นที่และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่แตกต่างกัน ถ้าสัตว์เลี้ยงฟันแทะถูกเลี้ยงต้นแต่เด็ก สัตว์เหล่านี้มักจะไม่ดื้อและไม่กัด หนูตะเภามีอายุขัยยาวและต้องการกรงขังที่ใหญ่[68] เมื่อเชื่องสามารถถูกสอนให้เล่นกลได้ และดูเหมือนจะชอบมิตรภาพของมนุษย์ หนูขนาดเล็กมักจะมีอายุไขน้อยแต่ทว่าสามารถอยู่ในพื้นที่เล็กได้ แฮมสเตอร์เป็นสัตว์สันโดษแต่มักจะเป็นสัตว์ออกหากินเวลากลางคืน แฮมสเตอร์มีพฤติกรรมที่น่าสนใจแต่ทว่ามักจะมีนิสัยป้องกันตัวเองถ้าไม่ถูกจับต้องเพียงพอ เจอร์บิลมักที่จะไม่แสดงอาการก้าวร้าว กัดน้อย และเป็นสัตว์สังคมที่ชอบมิตรภาพของมนุษย์และสปีชีส์ตัวเอง[141]

สัตว์รำคาญและพาหะโรค

สัตว์ฟันแทะบางชนิดก่อความเสียหายต่อผลผลิตการเกษตรเป็นอย่างมากเช่น หนูนา (vole) ที่ทำลายมันฝรั่ง

สัตว์ฟันแทะบางชนิดเป็นสัตว์ก่อความเสียหายแก่ผลผลิตเกษตรกรรม ด้วยการกินผลผลิตที่กักตุนไว้โดยมนุษย์[142] ตัวอย่างเช่น ใน ค.ศ. 2003 จำนวนข้าวที่เสียหายเพราะหนูในทวีปเอเชียคาดการว่ามีปริมาณมากพอที่จะเลี้ยงมนุษย์ได้ถึง 200 ล้านคน ความเสียหายต่อผลผลิตการเกษตรที่มีอยู่ทั่วโลกเกิดขึ้นจากไม่กี่สปีชีส์ของสัตว์ฟันแทะ[143] ในประเทศอินโดนีเซียและแทนซาเนีย สัตว์ฟันแทะลดผลผลิตทางเกษตรกรรมประมาณร้อยละ 15 ในขณะที่ผลผลิตทางเกษตรกรรมบางสถานที่ในทวีปอเมริกาใต้ลดลงถึงร้อยละ 90 นอกจากนี้แล้วสัตว์ฟันแทะบางชนิดเช่น Mastomys และ Arvicanthis ลดผลผลิตทางการเกษตรในทวีปแอฟริกาเช่นธัญพืช ถั่วลิสง ผัก และโกโก้ สัตว์ฟันแทะในทวีปเอเชียเช่น Microtus brandti มองโกเลียนเจอร์บิล และ Eospalax baileyi ก่อความเสียหายแก่ข้าว ข้าวฟ่าง พืชหัว ผัก และถั่ว สัตว์ฟันแทะในทวีปยุโรปเช่น Apodemus, Microtus และ Arvicola terrestris สร้างความเสียหายแก่สวนผลไม้ สวนผัก ทุ่งเลี้ยงสัตว์ และธัญพืช สัตว์ฟันแทะหลายชนิดในทวีปแอฟริกาใต้เช่น Holochilus, Akodon, Calomys, Oligoryzomys, Phyllotis, Sigmodon และ Zygodontomys ก่อความเสียหายแก่ต้นอ้อย ผลไม้ ผัก และพืชหัว[143]

สัตว์ฟันแทะบางชนิดเป็นพาหะนำโรคหลัก[144] เช่นหนูท้องขาวจะมีตัวหมัดติดมาด้วย ซึ่งตัวหมัดนี้จะมีบทบาทสำคัญในการกระจายเชื้อ Yersinia pestis ซึ่งก่อให้เกิดกาฬโรค[145] นอกจากนี้สัตว์ฟันแทะชนิดอื่นยังเป็นพาหะเองและมีสัตว์อื่นซึ่งเป็นพาหะของโรคเช่น:

โรคตัวก่อโรคพาหะและแหล่งสะสมโรค
โรคสครับไทฟัส (Scrub typhus)Orientia tsutsugamushiไรบนสัตว์ฟันแทะ
โรคมิวรีนไทฟัส (Murine typhus)Rickettsia typhiหมัดบนสัตว์ฟันแทะ
โรคฉี่หนูแบคทีเรียสกุล Leptospiraฉี่ เนื้อเยื้อ เลือดจากสัตว์ฟันแทะ
โรคติดเชื้อท็อกโซพลาสมา (toxoplasmosis)Toxoplasma gondiiมูลจากสัตว์วงศ์เสือและแมว โดยสัตว์ฟันแทะสามารถติดเชื้อและแพร่กระจายสู่แมวเมื่อสัตว์ฟันแทะถูกกิน
โรคพยาธิทริไคเนลลา (Trichinosis)หนอนตัวกลมสกุล Trichinellaหมูกินซากสัตว์ฟันแทะที่ติดเชื้อ[146]
โรคติดเชื้อไวรัสฮันตากลุ่มไวรัสฮันตา (hantaviruses) เช่น ไวรัสพูอูมาลา (Puumala virus) ไวรัสโดบราวา (Dobrava virus) และ Saaremaa virusละอองจากมูล ฉี่ น้ำลายของสัตว์ฟันแทะ[147]
โรคติดเชื้อบาบิเซีย (Babesiosis)โพรทิสต์สกุล Babesiaเห็บบนสัตว์ฟันแทะ
โรคติดเชื้อลิชมาเนียโพรโทซัวสกุล Leishmaniaสัตว์ฟันแทะเป็นแหล่งสะสมโรคให้แมลงริ้นฝอยทราย (sandfly) รับเชื้อและส่งต่อ
โรคติดเชื้ออะนาพลาสมา (human granulocytic anaplasmosis)Anaplasma phagocytophilumเห็บบนสัตว์ฟันแทะ
โรคไลม์แบคทีเรียสกุล Borrelia เช่น Borrelia burgdorferi, Borrelia afzeliiเห็บบนสัตว์ฟันแทะ
โรคไข้เลือดออกออมสค์ (Omsk hemorrhagic fever)ไวรัสไข้เลือดออกออมสค์ (Omsk hemorrhagic fever virus)เห็บบนสัตว์ฟันแทะ ฉี่ มูล เลือดจากสัตว์ฟันแทะ
สมองอักเสบไวรัสโปวาสสัน (Powassan virus)เห็บบนสัตว์ฟันแทะ
โรคริกเก็ตเซียพอกซ์ (rickettsialpox)Rickettsia akariไรบนสัตว์ฟันแทะ
โรคไข้กลับเป็นซ้ำจากเชื้อบอเรลเลีย (relapsing fever)แบคทีเรียสกุล Borrelia เช่น Borrelia recurrentisแมลงปรสิตขนาดเล็ก (lice) หรือเห็บบนสัตว์ฟันแทะ
โรคไข้พุพองเทือกเขาร็อกกี (Rocky Mountain spotted fever)Rickettsia rickettsiiเห็บบนสัตว์ฟันแทะ
โรคไข้สมองอักเสบจากเชื้อไวรัสเวสต์ไนล์ (West Nile fever)ไวรัสเวสต์ไนล์สัตว์ฟันแทะเป็นแหล่งสะสมโรคให้ยุงและเห็บรับเชื้อและส่งต่อ[148]
บ้านกับดับสัตว์ฟันแทะที่เมืองเจนไน ประเทศอินเดีย

เนื่องจากสัตว์ฟันแทะบางชนิดเป็นสัตว์ที่ก่อความวุ่นวายและอันตรายกับสาธารณสุข มนุษย์จึงพยายามที่จับควบคุมประชากรสัตว์เหล่านี้ วิธีการวางยาหรือวางกับดับมักจะไม่ปลอดภัยและไม่มีประสิทธิภาพ การจัดการสัตว์ก่อความวุ่นวาย (Integrated pest management) พยายามที่จะปรับปรุงวิธีการรับมือโดยทำการสำรวจหลายครั้งเพื่อกำหนดขนาดประชากรและขอบเขตการแพร่กระจาย การตั้งขอบเขตการควบคุมการกระทำของสัตว์ฟันแทะ การรบกวน และการประเมิณผลของประสิทธิภาพ มาตการการรบกวนอาจจะรวมถึงให้การศึกษา ตั้งกฎหมาย และปรับเปลี่ยนที่อยู่อาศัย วิธีการเกษตร ตัวควบคุมสัตว์ก่อความรังควานทางชีวภาพโดยใช้เชื้อโรคหรือสัตว์ผู้ล่า รวมถึงการวางยาและวางกับดัก[149] เนื่องจากสัตว์ฟันแทะมีพฤติกรรมการเข็ดขยาดต่อสารพิษ (poison shyness) หรือการที่สัตว์ไม่กินอาหารบางประเภทหลังจากที่เรียนรู้ว่าอาหารนั้นถูกวางพิษ ทำให้เกิดความยากต่อการกำจัดสัตว์ก่อความรังควาน[67] แต่ทว่ายาเบื่อหนูประเภทที่มีฤทธิ์ช้า เช่นยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant) (ซึ่งทำให้เส้นเลือดฝอยของสัตว์ฟันแทะเกิดความเสียหายได้และนำไปสู่การตกเลือดภายใน) สามารถนำมาใช้รับมือพฤติกรรมการเข็ดขยาดต่อสารพิษของสัตว์ฟันแทะได้ การใช้เชื้อโรคเช่น Salmonella เพื่อควบคุมประชากรสัตว์ฟันแทะมีผลเสียกลับมาเนื่องจากเชื้อติดต่อสามารถแพร่กระจายไปยังมนุษย์และสัตว์เลี้ยงได้ นอกจากนี้แล้วสัตว์ก่อความรังควานมักพัฒนาภูมิคุ้มกัน การใช้สัตว์ผู้ล่าเช่น เฟร์ริต พังพอน และกิ้งก่ามอนิเตอร์ เพื่อควบคุมประชากรมีผลออกมาไม่น่าพอใจ การใช้แมวเลี้ยงสามารถควบคุมสัตว์ฟันแทะได้อย่างมีประสิทธิภาพถ้าประชากรไม่มีขนาดใหญ่เกินไป[150] ในสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ สัตว์ฟันแทะสองชนิดได้แก่ หนูหริ่งบ้านและหนูบ้าน ถูกควบคุมประชากรอย่างมีประสิทธิภาพและถูกกฎหมายเพื่อลดความเสียหายทางเกษตรกรรม การแพร่เชื้อบนผลผลิตทางเกษตร และความเสียหาต่อเครื่องมือ[151]นอกเหนือจากนี้แล้ว การควบคุมประชากร

ใกล้เคียง

อันดับสัตว์ฟันแทะ อันดับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย อันดับกบ อันดับมหาเศรษฐีโลก อันดับมหาวิทยาลัยไทย อันดับโลกเอฟไอวีบี อันดับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา อันดับโลกฟีฟ่า อันดับโลกหญิงฟีฟ่า อันดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา

แหล่งที่มา

WikiPedia: อันดับสัตว์ฟันแทะ http://www.theage.com.au/articles/2004/05/18/10847... http://www.publish.csiro.au/samples/native%20Mice%... http://www.cpbr.gov.au/cpbr/WfHC/Hydromys-chrysoga... http://www.environment.gov.au/node/14807 http://especesmenacees.ca/en/clothes-and-trimming.... http://nature.ca/notebooks/english/giantbev.htm http://abc.museucienciesjournals.cat/volum-26-2-20... http://bmcevolbiol.biomedcentral.com/articles/10.1... http://www.britannica.com/EBchecked/topic/327815/l... http://www.cell.com/current-biology/fulltext/S0960...