พฤติกรรมและประวัติชีวิต ของ อันดับสัตว์ฟันแทะ

การกินอาหาร

ชิปมังก์ทางตะวันออกสะสมอาหารไว้ในกระพุ้งแก้ม

สัตว์ฟันแทะส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่กินแต่ชิ้นส่วนของพืชเช่น เมล็ด ก้าน ใบไม้ ดอกไม้ และรากไม้ ในขณะที่บางสมาชิกกินทั้งพืชและเนื้อหรือเป็นผู้ล่าสัตว์ชนิดอื่น[4] หนูนาฟิลด์ (Field vole) เป็นสัตว์ฟันแทะที่กินพืชเช่น หญ้า สมุนไพร หัวราก ตะไคร่น้ำ และเปลือกไม้ และกินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นครั้งคราวเช่น ตัวอ่อนแมลง[22] โกเฟอร์เพลนส์ (Plains pocket gopher) กินเศษซากพืชที่พบเจออยู่ในใต้ดินหรือเก็บภายในกระพุ้งแก้มเพื่อกักตุนไว้กินในคราวหน้า[23]

โกเฟอร์เท็กซัส (Texas pocket gopher) จะหลีกเลี่ยงที่จะโผล่ออกมาบนผิวดินนานโดยการยึดรากพืชด้วยขากรรไกรและดึงทั้งต้นลงไปยังโพรงใต้ดิน[24] ในขณะที่ African pouched rat จะหาอาหารบนพื้นดินและเก็บไว้ในกระพุ้งแก้มจนกว่าจะเต็ม แล้วจึงกลับไปยังโพรงเพื่อที่จะได้นำอาหารออกมาเลือกกิน[25]

อะกูติ (Agouti) เป็นหนึ่งในไม่กี่กลุ่มที่สามารถเปิดเปลือกของผลบราซิลนัตได้ เนื่องจากผลบราซิลนัตมีเมล็ดที่ใหญ่กว่าที่จะกินได้ในหนึ่งมื้อ อะกูติจึงได้ถือเมล็ดที่เหลือไปด้วย ซึ่งก่อให้เกิดการกระจายอาณาเขตของพืชเพราะยังมีเมล็ดหลงเหลืออยู่ที่สมาชิกของกลุ่มอะกูติไม่ได้เอาติดตัวไปและเมล็ดนั้นห่างไกลจากต้นกำเนิด ต้นอื่นที่มีผลเป็นลูกนัตมีแนวโน้มที่จะออกผลมากเกินกว่าที่ต้องการในช่วงฤดูใบไม้ร่วง กระรอกจะนำผลเหล่านี้กักตุนในรอยแตกหรือพื้นที่กรวงของต้นไม้เพื่อไว้กินคราวหน้า ในเขตทะเลทรายผลเมล็ดของพืชมักจะออกเพียงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น หนูจิงโจ้ (kangaroo rat) จึงจะเก็บเมล็ดเหล่านี้เท่าที่เก็บได้ และนำไปกักตุนในโพรงเพื่อไว้ใช้คราวหน้า[25]

แคพิบาราเล็มทุ่งหญ้า

อีกกลยุทธ์ในการจัดการทรัพยากรอาหารที่แตกต่างตามฤดูกาลคือการกินให้ได้มากที่สุดและสะสมสารอาหารในรูปแบบไขมันตัวอย่างเช่น น้ำหนักตัวของมาร์มอตในฤดูใบไม้ร่วงอาจจะร้อยละ 50 มากกว่าน้ำหนักในช่วงฤดูใบไม้ผลิ มาร์มอตต้องการสะสมไขมันเพื่อการจำศีลช่วงฤดูหนาว[25] บีเวอร์กินพืชน้ำและใบไม้และเปลือกไม้ชั้นในของต้นไม้ที่กำลังโต บีเวอร์สะสมอาหารสำหรับฤดูหนาวโดยการตัดต้นไม้ต้นเล็กและกิ่งไม้ที่มีใบในฤดูใบไม่ร่วง จากนั้นแล้วจึงปักไม้เหล่านั้นไว้ในดินที่อยู่ใต้แอ่งน้ำ บีเวอร์จึงสามารถมีอาหารใต้น้ำไว้กินได้ตลอดฤดูหนาวถึงแม้ว่าพื้นผิวน้ำของแอ่งจะเป็นน้ำแข็งก็ตาม[26]

คนทั่วไปมักคิดว่าสัตว์ฟันแทะเป็นสัตว์กินพืช แต่ทว่าสัตว์ฟันแทะหลายชนิดโดยเฉพาะสมาชิกที่มีโครงสร้างร่างกายพิเศษ กินแมลง ปลา หรือเนื้อสัตว์ควบคู่กับพืช งานวิจัยทางสัณฐานวิทยาในระบบฟันของหนูตรงกับความคิดที่ว่าสัตว์ฟันแทะดั้งเดิมเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและเนื้อมากกว่าสัตว์ที่กินแต่พืช หลายสมาชิกของ Sciuromorpha และ Myomorpha และบางสมาชิกของ Hystricomorpha มีการกินเนื้อเยื้อจากสัตว์โดยปกติหรือได้เตรียมพร้อมที่จะกินอาหารดังกล่าวเมื่อถูกนำเสนอในเวลาสัตว์เหล่านั้นถูกจองจำ จากการตรวจสอบอาหารในกระเพาะของหนูเท้าขาวทวีปอเมริกาเหนือ (North American white-footed mouse) พบว่าร้อยละ 34 ของอาหารทั้งหมดเป็นเนื้อสัตว์ ถึงแม้ว่าสมาชิกนี้โดยปกติถือว่าเป็นสัตว์กินพืช[27]

สัตว์ฟันแทะกินเนื้อชนิดพิเศษอื่น ๆ ได้แก่ Shrewlike rat จากประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งกินแมลงและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีเนื้อนุ่ม Australian water rat กินแมลงในน้ำ ปลา กุ้ง ครัสเตเชีย หอย หอยทาก กบ ไข่นก และนกน้ำ[27][28] grasshopper mouse จากเขตแล้งของทวีปอเมริกาตอนเหนือมีแหล่งอาหารหลักคือแมลง แมงป่อง และหนูขนาดเล็กชนิดอื่น ในขณะที่มีพืชเป็นแหล่งอาหารย่อย หนูชนิดนี้มีลำตัวที่อ้วนเล็กน้อย มีขาสั้นและหาง แต่มีความว่องไวมากและสามารถเอาชนะเหยื่อที่มีขนาดร่างกายเท่ากับตัวเอง[29]

พฤติกรรมทางสังคม

แพรรีด็อกสร้างโพรงและอยู่เป็นฝูง

สัตว์ฟันแทะมีความหลากหลายในพฤติกรรมทางสังคม ซึ่งมีตั้งแต่ระบบสังคมแบบพึ่งพาอาศัยของตุ่นหนูไร้ขน (naked mole-rat)[30] ระบบสังคมแบบอาณาเขตของแพรรีด็อก[31] การอยู่เป็นกลุ่มฝูงจนถึงการอยู่อย่างสันโดษเช่น ดอร์เมาส์กินได้ (edible dormouse) ดอร์เมาส์ที่โตเต็มวัยอาจจะมาอาณาเขตแหล่งอาหารที่ทับซ้อนกับตัวอื่น แต่ดอร์เมาส์มีรังเป็นของตัวเองและหากินเดี่ยว ยกเว้นช่วงฤดูผสมพันธุ์ที่ดอร์เมาส์จะเจอกันและผสมพันธุ์ โกเฟอร์เป็นสัตว์สันโดษยกเว้นช่วงฤดูผสมพันธุ์ โดยแต่ล่ะตัวนั้นจะขุดโพรงที่ซับซ้อนและมีอาณาเขตเป็นตัวเอง[11]

สัตว์ฟันแทะที่มีขนาดใหญ่มักจะอาศัยเป็นครอบครัวโดยที่พ่อและแม่จะอยู่กับลูกจนกว่าที่ลูกนั้นจะออกจากครอบครัว ตัวอย่างเช่น บีเวอร์ โดยครอบครัวมักจะประกอบไปด้วยผู้ใหญ่หนึ่งคู่ ลูกของปีนี้ และลูกของปีที่แล้วหรือแก่กว่านี้เป็นบางครั้ง[32] หนูบ้านมักอยู่อาศัยเป็นฝูงที่มีขนาดเล็กโดยมีสมาชิกเพศเมียหกตัวขึ้นไปอาศัยอยู่ในโพรง ในขณะที่ตัวผู้ป้องกันอาณาเขตบริเวณโพรง แต่ทว่าระบบนี้จะเปลี่ยนเมื่อมีความหนาแน่นของประชากรเพิ่มขึ้น โดยตัวผู้จะมีการจัดลำดับความสำคัญในสังคมที่ซับซ้อน ลูกตัวเมียยังคงอาศัยอยู่ในโพรงเป็นกลุ่ม ในขณะที่เมื่อลูกตัวผู้โตพอประมาณแล้วจะออกจากรัง[33] หนูนาแพรรี (Prairie vole) มีพฤติกรรมการผสมพันธุ์แบบผัวเดียวเมียเดียว ซึ่งเมื่อสัตว์เลือกคู่ผสมพันธุ์ได้แล้วจะอยู่กับคู่ผสมพันธุ์ตลอดชีวิต ในช่วงเวลานอกฤดูผสมพันธุ์หนูนาแพรรีจะอาศัยเป็นกลุ่มเล็ก โดยตัวผู้ไม่แสดงอาการก้าวร้าวต่อตัวผู้ตัวอื่นจนกว่าเมื่อตัวผู้จะเจอคู่ครอง ซึ่งในเวลานั้นตัวผู้จะป้องกันตัวเมีย อาณาเขต และรังจากตัวผู้อื่น ตัวเมียและตัวผู้จะอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทำความสะอาดให้ซึ่งกันและกัน และแบ่งปันหน้าที่ดูแลลูกกับรังด้วยกัน[34]

รังของตุ่นหนูไร้ขน

ในบรรดาสัตว์ฟันแทะที่เป็นสัตว์มีสังคมมากที่สุดคือกระรอกดิน ซึ่งอยู่อาศัยกันเป็นฝูงโดยที่มีตัวเมียที่สร้างเป็นระบบเครือญาติในขณะที่ตัวผู้จะกระจายตัวออกจากกลุ่มหลังจากที่หย่านมแม่และอาศัยอย่างแร่รอนเมื่อโตเต็มวัย การร่วมมือของกระรอกดินมีความแตกต่างกันในแต่ละสายพันธุ์ แต่โดยทั่วไปแล้วมักมีการแจ้งเตือนภัย การป้องกันอาณาเขต การแบ่งปันอาหาร การป้องกันพื้นที่บริเวณรัง และการขัดขวางการฆ่าทารก[35] แพรรีด็อกหางดำ (Black-tailed prairie dog) อยู่อาศัยเป็นฝูงและมีการสร้างโพรงที่มีลักษณะคล้ายเมืองขนาดใหญ่ซึ่งอาจครอบคลุมได้หลายเฮกตาร์ โดยที่แต่ละโพรงจะไม่เชื่อมต่อซึ่งกันและกัน และครอบครองโดยแต่ละอาณาาเขตของครอบครัวที่เรียกว่าหมู่ (coteries) ในแต่ละหมู่มักจะมีหนึ่งตัวผู้ที่โตเต็มวัย สามหรือสี่ตัวเมียที่โตเต็มวัย ลูกที่ยังไม่ผสมพันธุ์และมีอายุหนึ่งปี และลูกของปีนี้ โดยสมาชิกในกลุ่มจะเป็นมิตรซึ่งกันและกันแต่จะแสดงอาการก้าวร้าวกับสมาชิกภายนอก[31]

ตุ่นหนูไร้ขนและหนูตุ่นแดมมาร่าแลนด์ (Damaraland mole-rat) แสดงให้ถึงลักษณะการอยู่กันเป็นฝูงอย่างมาก โดยที่ตุ่นหนูไร้ขนอยู่อาศัยภายใต้ดินตลอดเวลาและสร้างฝูงที่มีสมาชิกมากถึงแปดสิบสมาชิก แต่ทว่ามีเพียงหนึ่งตัวเมียและตัวผู้ได้มากถึงสามตัวในฝูงที่สามารถผสมพันธุ์ ในขณะที่สมาชิกอื่นที่มีขนาดเล็กกว่าเป็นหมันและมีหน้าที่หลักคือทำงาน บางสมาชิกที่มีขนาดปานกลางมีหน้าที่ช่วยเลี้ยงดูตัวอ่อนและทำหน้าที่ผสมพันธุ์แทนเมื่อตัวขยายพันธุ์หลักตาย[36] หนูตุ่นแดมมาร่าแลนด์มีลักษณะเด่นโดยในฝูงจะมีเพียงตัวผู้และตัวเมียอย่างละตัวที่ทำหน้าที่ขยายพันธุ์ ในขณะสมาชิกที่เหลือเป็นหมันอย่างไม่แท้จริงและสามารถผสมพันธุ์ได้ต่อเมื่อสมาชิกนั้นสร้างฝูงใหม่เอง[37]

การสื่อสาร

การรับกลิ่น

สายพันธุ์ที่แสดงความเห็นแก่ญาติเช่น หนูหริ่งบ้านพึ่งพากลิ่นจากมูล ปัสสาวะ และสารที่ขับจากต่อม ในการแยกแยะสัตว์ที่อยู่ตระกูลและสายพันธุ์เดียวกันจากสัตว์ต่างตระกูล

สัตว์ฟันแทะมีการวางเครื่องหมายกลิ่นในบริบททางสังคมต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการสื่อสารระหว่างภายในและนอกสายพันธุ์ การก่อตั้งอาณาเขต และการกำหนดทางเคลื่อนที่ ข้อมูลทางพันธุกรรมที่พบจากปัสสาวะของสัตว์ฟันแทะให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวมันเองเช่นเพศ สายพันธุ์ ระดับชั้นทางสังคม สถานการณ์สืบพันธุ์ และสุขภาพ ปัสสาวะของสัตว์ฟันแทะยังมีโปรตีนที่เกาะกับสารประกอบที่ได้จากลุ่มของยีนซึ่งเป็นตัวกำหนดและควบคุมลักษณะของแอนติเจนบนผิวเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการตอบรับหรือปฏิเสธเนื้อเยื้อรวมทั้งการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน (major histocompatibility complex, MHC) พฤติกรรมการวางกลิ่นของสัตว์ฟันแทะสามารถถูกรบกวนได้ด้วยกลิ่นตัวของนักล่าซึ่งอาจจะมีผลยาวนาน (ขั้นต่ำเจ็ดวัน)[38]

สัตว์ฟันแทะสามารถแยกแยะสัตว์ที่อยู่ตระกูลและสายพันธุ์เดียวกันจากสัตว์ต่างตระกูลได้ด้วยกลิ่น ซึ่งสัตว์จะแสดงความเห็นแก่ญาติต่อสัตว์สายตระกูลและสายพันธุ์เดียวกันและหลีกเหลียงการผสมเลือดชิด กลิ่นที่สัตว์ได้รับสามารถมาได้จากมูล ปัสสาวะ และสารที่ขับจากต่อม นอกจากนี้แล้วความสามารถในการแยกแยะนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ MHC โดยที่ระดับความสัมพันธ์ของสัตว์สองตัวจะเกี่ยวข้องกับความคล้ายคลึงกันของยีน MHC การสื่อสารระหว่างสัตว์ต่างสายพันธุ์ควรมีเครื่องหมายกลิ่นที่อยู่คงนานกว่า เพราะฉะนั้นแล้วสัตว์อาจจะใช้โปรตีนหลักในปัสสาวะ (Major urinary proteins, MUPs) ที่ไม่สามารถระเหยได้เป็นตัวขนส่งฟีโรโมน นอกจากนี้แล้วสัตว์ฟันแทะอาจจะใช้ MUPs ในการส่งสัญญาณบ่งบอกถึงสถานะของตัวเองอย่างเช่น หนูหริ่งบ้านตัวผู้ที่ขับปัสสาวะที่มี MUPs อยู่จำนวนมาก[39]

หนูหริ่งบ้านขับปัสสาวะที่มีฟีโรโมนสำหรับการก่อตั้งอาณาเขต การแยกแยะสมาชิกในกลุ่ม และระดับชั้นทางสังคม[40] บีเวอร์และกระรอกแดง (red squirrel) สามารถรับรู้ถึงกลิ่นของสมาชิกในอาณาเขตเพื่อนบ้าน ส่งผลให้มีการตอบสนองต่อการบุกรุกโดยสมาชิกของอาณาเขตเพื่อนบ้านรุนแรงน้อยกว่าสมาชิกต่างถิ่นหรือแปลกหน้า ประกฎการณ์นี้มีชื่อเรียกว่า Dear enemy effect[41][42]

การรับฟัง

หนูเดกู (common degu) มีระบบเสียงที่ซับซ้อน

สัตว์ฟันแทะหลายชนิดโดยเฉพาะสัตว์สังคมที่หากินตอนกลางวันมีวิธีการแจ้งเตือนภัยที่หลากหลายเมื่อสัตว์รู้สึกอันตราย โดยพฤติกรรมของสัตว์นี้ให้ประโยชน์แก่สัตว์ทั้งโดยตรงและไม่โดยตรง สัตว์ผู้ล่าอาจจะหยุดการล่าเมื่อถูกพบเจอ หรือการแจ้งเตือนให้อพยพ[43] สัตว์หลายพันธุเช่นแพรรีด็อกมีระบบการเตือนภัยผู้ล่าที่ซับซ้อน ซึ่งวิธีการเตือนภัยของแพรรีด็อกจะแตกต่างกันเมื่อพบเจอผู้ล่าแตกต่างพันธุ์ (เช่น สัตว์ปีกหรือสัตว์บก) โดยในแต่ละวิธีการเตือนภัยจะมีข้อมูลที่แม่นยำและระดับความฉุกเฉินเกี่ยวกับภัยอันตราย[44][45]

สัตว์ฟันแทะที่มีสังคมมีระบบเสียงที่หลากหลายมากกว่าสัตว์ฟันแทะที่อยู่อย่างสันโดษ สิบห้าเสียงที่แตกต่างกันได้ถูกค้นพบใน Fukomys micklemi ที่โตเต็มวัยและลูกสัตว์สี่ตัว[46] เช่นเดียวกับหนูเดกู (common degu) ซึ่งเป็นหนูที่มีสังคมและขุดหลุมอีกชนิดหนึ่ง มีวิธีการสื่อสารที่หลากหลายและเสียงที่มีถึงสิบห้าชนิดด้วยกัน[47] นอกจากนี้แล้วการสื่อสารของหนูดอร์เมาส์มีการใช้เสียงที่มีความถี่สูงเมื่ออยู่ไกลกัน[48]

หนูหริ่งบ้านใช้เสียงที่คนสามารถได้ยินได้และเสียงที่มีความถี่สูงในโอกาสต่าง ๆ โดยเสียงที่คนสามารถได้ยินนั้นมักเป็นเสียงที่หนูใช้เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งอันตราย ในขณะที่เสียงที่มีความถี่สูงถูกใช้สำหรับการหาคู่ผสมพันธุ์และเมื่อลูกหนูหริ่งบ้านตกจากรัง[40]

มาร์มอตกำลังผิวปาก

หนูทดลอง (โดยส่วนมากจะเป็นหนูบ้าน ) มีเสียงที่สั้นและความถี่สูงเมื่อรู้สึกดีเช่นในเวลาเล่น รอคอยการฉีดมอร์ฟีน ผสมพันธุ์ หรือถูกจักจี้ โดยเสียงของหนูทดลองมีลักษณะคล้ายคลึงกับเสียงหัวเราะและถูกตีความว่าเป็นเสียงการคาดหวังถึงสิ่งที่ทำให้มีความสุข จากการศึกษาในคลินิกเสียงนี้ของหนูทดลองมีความสัมพันธ์กับความรู้สึกทางอารมณ์ในเชิงบวกและการสร้างมิตรภาพเมื่อถูกจักจี้ ซึ่งส่งผลให้หนูทดลองมีความแสวงหาการถูกจักจี้มากขึ้น แต่ทว่าเมื่ออายุของหนูเพิ่มขึ้นความต้องการนั้นลดลง เช่นเดียวกับเสียงของสัตว์ฟันแทะอื่น เสียงของหนูทดลองมีความถี่ที่สูงมากเกินกว่าที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ถ้าไม่มีอุปกรณ์พิเศษเช่น เครื่องตรวจหาค้างคาว[49]

การมองเห็น

สัตว์ฟันแทะมีความเหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่มีสายรกยกเว้นสัตว์ในอันดับวานร ตรงที่มีเซลล์รับแสงรูปกรวยในจอตาอยู่สองชนิด[50]คือแบบความยาวคลื่นสั้น (สีน้ำเงิน-แสงอัลตราไวโอเลต) และแบบความยาวปานกลาง (สีเขียว) เพราะฉะนั้นสัตว์ฟันแทะถือว่าอยู่ในกลุ่มสัตว์ที่มีตัวรับสีสองแบบ แต่ทว่าสัตว์ฟันแทะมีตัวรับแสงที่ไวต่อสเปกตรัมของแสงอัลตราไวโอเลต ซึ่งสามารถให้สัตว์ฟันแทะเห็นแสงที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ โดยข้อมูลเกี่ยวกับความไวต่อแสงอัลตราไวโอเลตยังไม่เป็นที่แน่ชัด ในกรณีของหนูเดกู (common degu) มีท้องที่สามารถสะท้อนแสงอัลตราไวโอเลตได้มากกว่าผิวบนหลัง เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อหนูเดกูรู้สึกตื่นตระหนก ส่งผลให้หนูเดกูยืนขึ้นด้วยขาหลังซึ่งทำให้หน้าท้องของมันเปิดเผยและสะท้อนแสงอัลตราไวโอเลตไปยังหนูตัวอื่นเพื่อส่งสัญญาณเตือนภัย ในทางกลับกันเมื่อหนูเดกูยืนด้วยสี่ขาการสะท้อนแสงอัลตราไวโอเลตจะลดลง ซึ่งลดโอกาสของสัตว์ผู้ล่าในการพบเจอหนูเดกู[51] แสงอัลตราไวโอเลตมีมากในช่วงกลางวันแต่ไม่ใช่ช่วงกลางคืน สัตว์ฟันแทะส่วนมากจะตื่นตัวในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและลงซึ่งมีประโยชน์กับสัตว์ฟันแทะมากเพราะเป็นช่วงที่อัตราการการเพิ่มของแสงอัลตราไวโอเลตจะมากขึ้น ในขณะที่ความสามารถในการสะท้อนแสงอัลตราไวโอเลตอาจจะไม่มีประโยชน์มากสำหรับสัตว์ฟันแทะที่ออกหากินตอนกลางคืน[52]

ปัสสาวะของสัตว์ฟันแทะสามารถสะท้อนแสงอัลตราไวโอเลตเป็นอย่างดี เพราะเหตุนี้ปัสสาวะอาจจะสามารถใช้ในการสื่อสารระหว่างสัตว์ฟันแทะทางทั้งกลิ่นและการมองเห็น[53] แต่ทว่าอัตราการสะท้อนแสงอัลตราไวโอเลตของปัสสาวะจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งอาจจะให้โทษให้แก่สัตว์ฟันแทะเพราะเหยี่ยวเคสเตรลสามารถแยกแยะหว่างเครื่องหมายกลิ่นปัสสาวะของสัตว์ฟันแทะที่ใหม่และเก่าได้ ซึ่งเพิ่มความสำเร็จในการล่าของเหยี่ยวถ้าปัสสาวะของสัตว์ฟันแทะนั้นยังใหม่[54]

การวางแผน

หนูตุ่นไร้ขนตะวันออกกลาง (Middle East blind mole rat) ใช้การสื่อสารด้วยการสร้างแรงสั่นสะเทือนในดิน

สัตว์ฟันแทะใช้การสั่นสะเทือนเป็นการส่งสัญญาณให้กับสัตว์สายพันธุ์เดียวกันเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำของสัตว์ตัวหนึ่ง การแจ้งเตือนถึงภัยอันตรายและการมาผู้ล่า การดูแลฝูงหรือญาติ และการเกี้ยวพาราสี หนูตุ่นไร้ขนตะวันออกกลาง (Middle East blind mole rat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมตัวแรกที่ถูกพบเจอว่ามีการสื่อสารด้วยการสร้างแรงสั่นสะเทือน (seismic communication) โดยที่หนูตุ่นไร้ขนนี้จะกระแทกหัวตัวเองเข้ากับกำแพงในโพรงของมัน โดยตอนแรกการกระทำนี้ถูกตีความว่าเป็นหนึ่งในพฤติกรรมการขุดโพรงของหนูตุ่นไร้ขน แต่ทว่านักสัตววิทยาค้นพบตอนหลังว่าการกระทำนี้ใช้เป็นการสื่อสารทางไกลกับหนูตุ่นไร้ขนตัวอื่น[55]

การสร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยเท้าถูกใช้ส่วนมากเพื่อเป็นการเตือนนักล่าหรือการป้องกันตัวเอง ซึ่งพฤติกรรมนี้ใช้โดยสัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินหรือกึ่งใต้ดินเป็นหลัก[56] หนูจิงโจ้หางลายธง (banner-tailed kangaroo rat) สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยเท้าในหลายรูปแบบในแต่ละโอกาสเช่น เมื่อพบเจองู การสร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยเท้าอาจจะเตือนภัยแก่ลูกของหนูจิงโจ้ได้ แต่ทว่าสาเหตุหลักของการกระทำนี้คือการแสดงให้งูเห็นว่าหนูจิงโจ้ตื่นตระหนกเกินกว่าที่งูจะสามารถล่าหนูได้อย่างสำเร็จ ซึ่งทำให้งูนั้นล้มเลิกการล่า[55][57] หลายการศึกษาพบว่าหนูตุ่นรัฐเคป (Cape mole rat) มีการใช้แรงสั่นสะเทือนของดินสำหรับการหาคู่ผสมพันธุ์[58] โดยการสร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยเท้าจะถูกใช้เมื่อมีการแข่งขันในหมู่ตัวผู้เพื่อแย่งตัวเมีย ตัวผู้ที่แข็งแรงกว่าจะแสดงศักยภาพในการสร้างแรงสั่นสะเทือน เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ทางกายภาพกับคู่แข่งที่สามารถสร้างการบาดเจ็บให้ทั้งสองฝั่งได้[55]

กลยุทธ์การผสมพันธุ์

กระรอกดินเคปเป็นตัวอย่างของสัตว์ฟันแทะที่มีพฤติกรรมความสำส่อน

สัตว์ฟันแทะบางชนิดมีลักษณะการผสมพันธุ์แบบผัวเดียวเมียเดียว ซึ่งมีสองรูปแบบหลัก โดยในรูปแบบแรก (obligate monogamy) ทั้งพ่อและแม่จะดูแลลูกและมีบทบาทสำคัญในการดำรงชีวิตอยู่ของลูก พฤติกรรมนี้มีประโยชน์เนื่องจากตัวผู้ลดโอกาสในการที่ไม่เจอคู่ผสมพันธุ์ตัวใหม่หรือผสมพันธุ์กับตัวเมียที่เป็นหมัน สัตว์อันดับฟันแทะที่ใช้รูปแบบนี้คือ หนูแคลิฟอร์เนีย (California mouse) หนูโอลด์ฟิลด์ (Oldfield mouse) หนูยักษ์มาลากาซี (Malagasy giant rat) และบีเวอร์ ในขณะที่รูปแบบที่สอง (facultative monogamy)ตัวผู้ไม่สามารถดูแลลูกและจะอยู่กับตัวเมียเพียงตัวเดียวเพราะไม่สามารถหาตัวเมียใหม่ได้เนื่องจากการอยู่อย่างกระจัดกระจาย ตัวอย่างของสัตว์ฟันแทะที่ใช้รูปแบบนี้คือหนูนาแพรรี (Prairie vole) โดยที่ตัวผู้จะอยู่ในบริเวณรังและมีหน้าที่ป้องกันตัวเมียและลูกจากผู้ล่า[59]

สัตว์ฟันแทะชนิดอื่นมีพฤติกรรมการผสมพันธุ์แบบผัวเดียวหลายเมีย โดยตัวผู้จะผสมพันธุ์กับตัวเมียหลายตัว พฤติกรรมนี้แบ่งออกเป็นสองชนิดหลัก โดยชนิดแรก (defense polygyny) ตัวผู้จะครอบครองอาณาเขตที่มีทรัพยากรมากเพื่อดึงดูดตัวเมีย สัตว์กลุ่มที่มีพฤติกรรมลักษณะแรกได้แก่ มาร์มอตท้องเหลือง (Yellow-bellied marmot) กระรอกดินแคลิฟอร์เนีย (California ground squirrel) กระรอกดินโคลัมเบีย (Columbian ground squirrel) กระรอกดินริชาร์ดสัน (Richardson's ground squirrel) ตัวผู้ที่ปกครองอาณาเขตนั้นถือว่าเป็น “พ่อบ้าน” ในขณะที่ตัวเมียที่อาศัยในอาณาเขตนั้นถือว่าเป็น “แม่บ้าน” ในกรณีของมาร์มอต ตัวผู้ที่เป็นพ่อบ้านจะสู้เพื่ออาณาเขตของตัวเองและชนะผู้บุกรุกตัวผู้เป็นบ่อยครั้ง สัตว์ฟันแทะบางชนิดปกป้องตัวเมียที่เป็นแม่บ้านโดยตรงและการต่อสู้อาจจะก่อความบาดเจ็บสาหัสแก่ทั้งสองฝั่ง ในขณะที่พฤติกรรมแบบที่สอง (non-defense polygyny) ตัวผู้จะไม่อยู่เป็นหลักเป็นฐานแต่จะเดินเรื่อย ๆ เพื่อหาตัวเมียที่จะครองครอง ตัวผู้เหล่านี้มีลำดับชั้นทางสังคม โดยที่ตัวผู้ที่มีลำดับชั้นสูงจะมีโอกาสเข้าถึงตัวเมียมากกว่าตัวผู้ที่มีลำดับชั้นต่ำ พฤติกรรมเกิดขึ้นในกลุ่มสัตว์ฟันแทะเช่น กระรอกดินเบลดิง (Belding's ground squirrel) และกระรอกต้นไม้บางชนิด[59]

แท่งกันชู้ (mating plug) ในตัวเมียของกระรอกดินเบลดิง (Belding's ground squirrel)

พฤติกรรมความสำส่อนเกิดขึ้นในทั้งตัวผู้และตัวเมียของสัตว์ฟันแทะบางชนิด ในกรณีของหนูเท้าขาว (White-footed mouse) ตัวเมียจะมีลูกหลายตัวที่มาจากต่างพ่อ พฤติกรรมความสำส่อนก่อให้เกิดการแข่งขันทางอสุจิโดยตัวผู้มักจะมีอัณฑะที่ใหญ่ ในกรณีของกระรอกดินเคป (Cape ground squirrel) อัณฑะของตัวผู้อาจจะมีความยาวได้ถึงร้อยละ 20 ของความยาวหัวจรดตัว[59] สัตว์ฟันแทะบางชนิดมีพฤติกรรมการเลือกคู่ผสมพันธุ์ที่ไม่ตายตัวซึ่งสามารถมีได้ทั้งแบบผัวเดียวเมียเดียว ผัวเดียวหลายเมีย และสำส่อน[59]

ตัวเมียของสัตว์ฟันแทะมีบทบาทสำคัญในการเลือกคู่ผสมพันธุ์ โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลกับการตัดสินใจของตัวเมียได้แก่ ขนาดตัว อันดับทางสังคม และการเคลื่อนไหวของตัวผู้[60] ในกรณีของหนูตุ่นที่มีลักษณะทางสังคมแบบหนึ่งตัวเมียของฝูงทำหน้าที่สืบพันธุ์ในขณะที่ตัวเมียตัวอื่นมีหน้าที่ดูแลเด็ก หนึ่งตัวเมียจะปกครองฝูงและผสมพันธุ์กับตัวผู้อย่างน้อยสามตัว[36]

ในสัตว์ฟันแทะหลายชนิดเช่น หนูบ้านและหนูหริ่งบ้าน มีวงจรการตกไข่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่สัตว์ฟันแทะชนิดอื่นเช่น หนูนา (Vole) การเริ่มผสมพันธุ์จะกระตุ้นวงจรการตกไข่ ในระหว่างที่ผสมพันธุ์ตัวผู้ของสัตว์ฟันแทะบางชนิดจะวางแท่งกันชู้ (mating plug) บนทางเปิดของอวัยะเพศของตัวเมีย ซึ่งจะป้องกันการรั่วไหลของอสุจิและป้องกันไม่ให้ตัวผู้อื่นฉีดอสุจิให้ตัวเมีย ตัวเมียสามารถนำแท่งกันชู้ออกได้เลยหรือหลายชั่วโมงหลังจากการผสมพันธุ์[60]

การเกิดและการเลี้ยงดู

ตัวอ่อนของหนูนาแบงค์ (Bank vole) อาศัยอยู่ในรังใต้กองไม้

สัตว์ฟันแทะอาจจะเกิดมาเป็นตัวอ่อนที่ไม่สมบูรณ์ (มีขนน้อยและไม่สามารถมองเห็นได้) หรือตัวอ่อนที่สมบูรณ์ (มีขนมากและมองเห็นได้) ขึ้นอยู่กับชนิดของสัตว์ โดยส่วนมากกระรอกและหนูจะออกลูกเป็นตัวอ่อนที่ไม่สมบูรณ์ ในขณะที่หนูตะเภาและเม่นจะออกลูกเป็นตัวอ่อนที่สมบูรณ์ โดยทั่วไปตัวเมียของสัตว์ที่ออกลูกไม่สมบูรณ์จะสร้างรังอย่างปณีตก่อนที่จะออกลูก ต่อมาตัวเมียจะดูแลลูกจนกว่าลูกจะหย่านม ตัวเมียจะออกลูกโดยการนั่งหรือนอนลงและลูกจะออกออกมาในทางที่ตัวเมียหันหน้า ลูกที่เกิดมาใหม่นั้นสามารถเดินทางออกจากรังเมื่อสามารถเห็นได้แล้วและจะกลับยังรังบ่อยครั้ง จนกระทั่งเมื่อลูกโตและพัฒนามากขึ้นลูกจะกลับมายังรังน้อยลง เมื่อลูกหย่านม ลูกจะออกจากรังอย่างถาวร[61]

ในสัตว์ที่ออกตัวอ่อนที่สมบูรณ์ ตัวเมียมักจะไม่ค่อยสร้างรังที่ละเอียดและซับซ้อนมากในขณะที่ตัวเมียบางตัวไม่สร้างรังเลย ตัวเมียจะยืนระหว่างออกลูกและลูกจะออกมาทางด้านหลังของตัวเมีย ตัวเมียของสัตว์ที่ออกลูกที่สมบูรณ์สามารถรักษาการติดต่อกับลูกที่เคลื่อนไหวได้ด้วยเสียงเรียกของแม่ ถึงแม้ว่าลูกจะสามารถอยู่รอดได้ด้วยตัวเองและหย่านมแล้ว ลูกยังคงถูกดูแลโดยแม่ต่อไป ตัวเมียออกจำนวนลูกต่อหนึ่งคอกแตกต่างกัน โดยตัวเมียที่ออกลูกน้อยจะใช้เวลาอยู่ในรังมากกว่าตัวเมียที่ออกลูกเยอะ[61]

พาตาโกเนียนมารา (Patagonian Mara) ที่โตเต็มวัยสองตัวอาศัยอยู่กับตัวอ่อน เป็นตัวอย่างของลักษณะการผสมพันธุ์แบบผัวเดียวเมียเดียและชนิดของสัตว์ที่มีการแบ่งปันรัง

ตัวเมียของสัตว์ฟันแทะสามารถดูแลลูกทั้งแบบโดยตรงเช่น การทำความสะอาดตัวและการขดตัวอยู่ใกล้ ๆ และแบบทางอ้อมเช่น การหาอาหาร หาสร้างรัง และการปกป้องลูก ในหลายสัตว์ฟันแทะที่มีสังคม ลูกอาจจะถูกดูแลโดยสัตว์ตัวอื่นนอกเหนือจากพ่อแม่ของมัน ซึ่งเป็นการกระทำที่เรียกว่าการดูแลเด็กที่ไม่ใช่ของตัวเอง (alloparenting) หรือ cooperative breeding โดยพฤติกรรมการดูแลนี้เกิดขึ้นกับแพรรีด็อกหางดำ (Black-tailed prairie dog) และกระรอกดินเบลดิง (Belding's ground squirrel) โดยที่ตัวเมียหลายตัวจะสร้างหลายรังและใช้ร่วมกันเพื่อดูแลทั้งลูกของตัวเองและลูกของตัวอื่น พฤติกรรมนี้ก่อให้เกิดคำถามที่ว่าแม่เหล่านี้สามารถแยกแยะระหว่างลูกของตัวเองจากของตัวอื่นได้หรือไม่ ในกรณีของพาตาโกเนียนมารา (Patagonian Mara) ลูกจะอยู่ในรังที่แบ่งปันกับลูกของตัวอื่นด้วยกัน แต่ทว่าแม่จะไม่อนุญาตให้ลูกสัตว์ของตัวอื่นดูแลลูกนอกเหนือจากของตัวเอง[62]

พฤติกรรมการฆ่าเด็กอ่อนเกิดขึ้นในสัตว์ฟันแทะหลายชนิด และอาจจะมีในสัตว์เต็มวัยชนิดเดียวกันทั้งตัวผู้และตัวเมีย ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมอาจจะมีได้ทั้งความเครียดด้านอาหาร การแข่งขันด้านทรัพยากรอาหาร หลีกเลี่ยงการดูแลที่ผิดผลาด และในกรณีของตัวผู้ ทำให้ตัวเมียพร้อมที่จะผสมพันธุ์อีกครั้ง โดยเหตุผลอันดับสุดท้ายเกิดขึ้นบ่อยครั้งในสัตว์อันดับวานรและสิงโต แต่น้อยครั้งในสัตว์อันดับฟันแทะ[63] พฤติกรรมการฆ่าเด็กอ่อนเกิดขึ้นบ่อยครั้งในแพรรีด็อกหางดำ (Black-tailed prairie dog) ซึ่งรวมถึงการฆ่าเด็กอ่อนโดยผู้บุกรุกที่เป็นตัวผู้ ผู้อพยพที่เป็นตัวเมีย และพฤติกรรมการกินลูกตัวเองของสัตว์[64] ตัวเมียมีการป้องการฆ่าเด็กอ่อนจากสัตว์เต็มวัยตัวอื่นโดยอาจจะแสดงอาการก้าวร้าวต่อสัตว์ตัวนั้น ผสมพันธุ์หลายครั้ง ป้องกันอาณาเขตของตัวเอง หรือการออกลูกก่อนกำหนด[63] พฤติกรรมการฆ่าทารกในครรภ์เกิดขึ้นในสัตว์ฟันแทะเช่นกัน ในกรณีของมาร์มอตแอลไพน์ (Alpine marmot) ตัวเมียที่มีอันดับทางสังคมที่สูงจะข่มการผสมพันธุ์ของตัวเมียตัวอื่นโดยแสดงอาการไม่เป็นมิตรต่อตัวเมียตัวอื่นในระหว่างตั้งครรภ์ ส่งผลให้เกิดการแท้งของทารกในครรภ์[65]

สติปัญญา

หนูจิงโจ้สามารถค้นหาตำแหน่งของอาหารด้วยความจำเกี่ยวกับสถานที่

สัตว์ฟันแทะมีความฉลาดที่สูง สัตว์ฟันแทะมักจะไม่กินอาหารที่แปลกใหม่ (สะท้อนกับการปรับตัวของสัตว์ฟันแทะที่ไม่สามารถอาเจียนอาหาร) แต่จะชิม รอและสังเกตว่าอาหารที่กินทำให้ตัวสัตว์เองหรือสัตว์อื่นป่วยหรือไม่[66][67] การที่สัตว์ฟันแทะสามารถเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงเหยื่ออาหารที่เป็นพิษทำให้เป็นสัตว์ก่อความวุ่นวายที่ยากต่อการกำจัด หนูตะเภาสามารถเรียนรู้และจำเส้นทางที่ซับซ้อนไปยังอาหาร[68] กระรอกและหนูจิงโจ้สามารถค้นหาตำแหน่งของอาหารได้ด้วยความจำเกี่ยวกับสถานที่นอกเหนือจากการดมกลิ่น[69][70]

ความรู้เกี่ยวกับความฉลาดของสัตว์ฟันแทะมีความก้าวหน้ามากขึ้นเนื่องจากการนำหนูหริ่งบ้านและหนูบ้านมาเป็นสัตว์ทดลอง หนูบ้านมีอคติทางการตัดสินใจ โดยการประมวลผลข้อมูลจะเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสภาวะทางจิตใจ[71] ตัวอย่างเช่นเมื่อหนูทดลองถูกฝึกให้ตอบสนองต่อโทนเสียงเฉพาะโดยการกดคันโยกเพื่อรับรางวัลและกดคันโยกอื่นเมื่อได้ยินอีกโทนเสียงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกไฟฟ้าช็อต หนูทดลองตัวนั้นจะต่อสอบสนองต่อเสียงที่อยู่ระหว่างโทนเสียงทั้งสองโดยการกดคันโยกที่ได้รับรางวัลมากกว่าเมื่อหนูตัวนั้นได้ถูกจักจี้ (สิ่งที่หนูชอบ) การทดลองนี้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะจิตใจที่ดีและการตัดสินใจเมื่อพบเจอสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนของสัตว์ทดลอง[72]

นอกจากนี้แล้วหนูบ้านอาจจะมีกระบวนการทางปัญญา (metacognition) ซึ่งหมายถึงการตระหนักถึงการเรียนรู้ของตัวเองและตัดสินใจด้วยความรู้ที่มีหรือไม่มี โดยความคิดนี้สนับสนุนโดยผลการทดลองเกี่ยวกับการตัดสินใจของหนูบ้านเกี่ยวกับการเลือกหน้าที่ที่ง่ายกว่าและมีรางวัลสูง ซึ่งทำให้หนูเป็นสัตว์ที่สองหลังจากสัตว์อันดับวานรที่มีความสามารถนี้[73][74] แต่ทว่าผลการทดลองนี้มีข้อโต้แย้งอยู่เป็นจะนวนมากเนื่องจากหนูทดลองอาจจะเพียงทำตามที่ทฤษฎีการวางเงื่อนไขด้วยการกระทำ (operant conditioning principles)[75] หรือโมเดลเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม[76] หนูบ้านใช้ความสามารถในการเรียนรู้สังคมในสถานการณ์หลายอย่างโดยเฉพาะการแสวงหาอาหารที่ชอบ[77][78]

ใกล้เคียง

อันดับสัตว์ฟันแทะ อันดับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย อันดับกบ อันดับมหาวิทยาลัยไทย อันดับมหาเศรษฐีโลก อันดับโลกเอฟไอวีบี อันดับของขนาด (ความยาว) อันดับด้วง อันดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา อันดับพระราชา

แหล่งที่มา

WikiPedia: อันดับสัตว์ฟันแทะ http://www.theage.com.au/articles/2004/05/18/10847... http://www.publish.csiro.au/samples/native%20Mice%... http://www.cpbr.gov.au/cpbr/WfHC/Hydromys-chrysoga... http://www.environment.gov.au/node/14807 http://especesmenacees.ca/en/clothes-and-trimming.... http://nature.ca/notebooks/english/giantbev.htm http://abc.museucienciesjournals.cat/volum-26-2-20... http://bmcevolbiol.biomedcentral.com/articles/10.1... http://www.britannica.com/EBchecked/topic/327815/l... http://www.cell.com/current-biology/fulltext/S0960...