กลไก ของ อาการท้องอืด

การผลิต องค์ประกอบ และกลิ่น

ลมในลำไส้เป็นผลผลิตพลอยได้ของกระบวนการหมักโดยแบคทีเรียในทางเดินกระเพาะลำไส้/ทางเดินอาหาร (GI tract) โดยเฉพาะในลำไส้ใหญ่[21]มีรายงานว่าการกลืนอากาศเกินปกติ ก็เป็นเหตุให้มีแก๊สในลำไส้มากเหมือนกัน แต่นี่เชื่อว่า มีน้อย[22]ปริมาตรกว่า 99% ของลมมีองค์ประกอบเป็นแก๊สที่ไม่เหม็น[8]รวมทั้งออกซิเจน ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน และมีเทนไนโตรเจนไม่ได้ผลิตในท้อง แต่เป็นองค์ประกอบของอากาศตามธรรมชาติคนไข้ที่มีแก๊สในลำไส้เกินที่โดยมากประกอบด้วยไนโตรเจนจะมีอาการกลืนอากาศ (aerophagia)[23]ส่วนไฮโดรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทนล้วนแต่ผลิตในท้อง และมีส่วนถึง 74% ของปริมาตรแก๊สกระเพาะและลำไส้ในบุคคลปกติ[24]มีเทนและไฮโดรเจนติดไฟได้ ดังนั้น ลม (รวมตด) ที่มีแก๊สเหล่านี้ก็จะติดไฟได้[25]

แต่มนุษย์ทั้งหมดไม่ได้มีแก๊สกระเพาะลำไส้ที่มีมีเทนยกตัวอย่างเช่น ในงานศึกษาที่ศึกษาอุจจาระของผู้ใหญ่ 9 คนงานหนึ่ง ผู้ร่วมการทดลองเพียง 5 คนเท่านั้นที่มีอาร์เคียในลำไส้ที่สามารถผลิตมีเทน[26]การมีมีเทนในลมลำไส้อาจมีสหสัมพันธ์กับโรคอ้วน ท้องผูก และกลุ่มอาการลำไส้ไวเกินต่อการกระตุ้น เพราะอาร์เคียที่ทำการออกซิไดส์ไฮโดรเจนให้เป็นมีเทนจะโปรโหมตให้หมักคาร์โบไฮเดรตได้สมบูรณ์กว่า มีผลให้เกิดกรดไขมันแล้วดูดซึมเข้าไปในร่างกายมากกว่า[27]

สารประกอบที่เหลือของลม (ปริมาตรน้อยกว่า 1%) เป็นตัวให้กลิ่นโดยดั้งเดิมแล้ว สารประกอบเช่น อินโดล, skatole, แอมโมเนีย, และกรดไขมันลูกโซ่สั้น เชื่อว่า เป็นเหตุให้มีกลิ่นแต่หลักฐานต่อมา ๆ พิสูจน์ว่า ปัจจัยหลักมาจากการรวมตัวของสารประกอบกำมะถันที่ระเหยได้ (VSC)[8][28]มันรู้มาก่อนแล้วว่าไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S), methyl mercaptan (MM, หรือ MT), dimethyl sulfide (DMS), dimethyl disulfide (DMDS) และ dimethyl trisulfide (DMTS) มีอยู่ในลมสารระเหยกลุ่ม benzopyrrole รวมทั้งอินโดลและ skatole มีกลิ่นเหมือนลูกเหม็น และดังนั้น น่าจะไม่มีบทบาทสำคัญในกลิ่นที่เฉพาะของตด

งานศึกษาหนึ่งได้แสดงอย่างน่าเชื่อถือว่า ความเข้มข้นของ H2S มีสหสัมพันธ์กับกลิ่นเหม็นของตด ตามด้วย MM และ DMS[23]ซึ่งยืนยันด้วยความจริงว่า H2S อาจเป็น VSC ที่มีมากที่สุดแต่ผลที่ว่านี้มาจากผู้ร่วมการทดลองที่ทานอาหารซึ่งมากไปด้วยถั่ว Phaseolus vulgaris (pinto bean) เพื่อให้เกิดตดส่วนงานศึกษาอื่น ๆ แสดงว่า MM มีบทบาทมากที่สุดต่อกลิ่นในคนไข้ที่ไม่ได้ทานอาหารอะไรเป็นพิเศษ[8]

มีหลักฐานแล้วว่า MM, DMS และ H2S (ซึ่งมีกลิ่นเป็นผักเน่า กะหล่ำปลี และไข่เน่า ตามลำดับ) ล้วนแต่มีอยู่ในตดมนุษย์ในระดับความเข้มข้นที่เลยขีดซึ่งสามารถได้กลิ่นได้[8]และรู้ด้วยว่า การเพิ่มอาหารกรดอะมิโนที่ประกอบด้วยกำมะถัน จะเพิ่มกลิ่นเหม็นของตดอย่างสำคัญและดังนั้น กลิ่นจึงน่าจะเป็นการรวมกันของ VSC โดยมีสารระเหยที่ไม่ใช่กำมะถันเป็นองค์ประกอบเพียงเล็กน้อย[23]

แต่กลิ่นเช่นนี้ก็อาจมีเหตุจากการมีแบคทีเรียจำนวนมากหรือการมีอุจจาระที่ไส้ตรงอาหารที่สมบูรณ์ด้วยโปรตีน โดยเฉพาะที่มีกรดอะมิโนซึ่งประกอบด้วยกำมะถัน มีหลักฐานแล้วว่าเพิ่มกลิ่นเหม็นของตดอย่างสำคัญ

ปริมาณและการเคลื่อนไหวของแก๊สในลำไส้

ปริมาตรของลมในลำไส้ปกติอยู่ระหว่าง 476-1,491 มล. ต่อ 24 ชม.[8][21]ความต่างระหว่างบุคคลจะขึ้นอยู่กับอาหารอย่างมากและดังนั้น การตดแต่ละวันจึงต่าง ๆ กันมาก โดยพิสัยปกติอยู่ที่ 8-20 ครั้งต่อวัน[23]ปริมาตรที่ตดแต่ะละครั้งก็ต่างกันเหมือนกัน (ระหว่าง 5-375 มล.)[8][21][24]โดยอาจรวมเป็นปริมาณ 0.5-1 ลิตรต่อวัน

ปริมาณการตดครั้งแรกตอนเช้าจะมากกว่าที่ทำในช่วงวันอย่างสำคัญ[8]นี่อาจจะเป็นเพราะการสะสมแก๊สในลำไส้ใหญ่เมื่อนอน การบีบตัวของทางเดินอาหารระดับสูงสุดในช่วง 2-3 ชม. แรกหลังตื่น หรือการบีบตัวของลำไส้เนื่องกับการขยายตัวของไส้ตรงที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของลม[10]

เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่า แก๊สเคลื่อนไปในท้องอย่างเป็นอิสระจากอาหารแข็งและอาหารเหลว และการเคลื่อนที่เช่นนี้มีประสิทธิภาพเมื่อตั้งกายตรงมากกว่าเมื่อนอน[10]มันเชื่อว่า แก๊สลำไส้ปริมาตรมากจะมีแรงต้านน้อย และสามารถขับโดยการเกร็งคลายกล้ามเนื้อของท้องเพียงเล็กน้อย คือเกร็งกล้ามเนื้อในส่วนต้น และคลายกล้ามเนื้อในส่วนปลายเป็นกระบวนการที่เชื่อว่าไม่มีผลต่ออาหารแข็งและอาหารเหลวภายในทางเดินอาหาร[10]

นักวิจัยที่ตรวจสอบปลายประสาทรับรู้ในช่องทวารหนักไม่พบว่า มันสำคัญในการช่วยเก็บน้ำไว้ในทวารหนักแล้วคาดว่า บทบาทของมันอาจเพื่อแยกแยะระหว่างลมกับอุจจาระ ดังนั้น จึงช่วยตรวจจับว่าต้องถ่ายอุจจาระหรือเพื่อส่งสัญญาณว่าถ่ายเสร็จแล้ว[29]

เสียงตดจะขึ้นอยู่กับความแน่นของกล้ามเนื้อหูรูดและความเร็วของแก๊สที่ขับออก โดยยังขึ้นกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น มีน้ำหรือไม่ และมีไขมันร่างกายแค่ไหนเสียงสูงต่ำของตดจะมีผลกระทบจากการปิดของปากทวารหนักในมนุษย์ การตดบางครั้งจะบังเอิญ เช่น เมื่อไอ จาม หรือเมื่อถึงจุดสุดยอดส่วนในกรณีอื่น ๆ สามารถจงใจตดได้โดยเกร็งกล้ามเนื้อท้องและลำไส้ ในขณะที่คลายกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก แล้วมีผลเป็นการผายลมออก

แหล่งที่มา

WikiPedia: อาการท้องอืด http://www.abc.net.au/southqld/stories/s1560903.ht... http://gut.bmj.com/cgi/pmidlookup?view=long&pmid=7... http://www.etymonline.com/index.php?term=flatulent http://www.flat-d.com/american-inventor.html http://www.gastrotraining.com/product-information/... http://www.icd9data.com/getICD9Code.ashx?icd9=787.... http://www.improb.com/ig/ig-pastwinners.html#ig200... http://maravipost.com/index.php?option=com_content... http://www.merck.com/mmpe/sec02/ch008/ch008d.html http://www.merriam-webster.com/dictionary/flatulen...