อาทมาต

อาทมาต, อาทมาฏ, อาตมาท, อาทมารถ หรือ อาจสามารถ[1] เป็นชื่อเรียกวิชาดาบแขนงหนึ่งของไทย เชื่อกันว่าตกทอดมาครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตั้งแต่ยังมีพระอิสริยยศ เป็น พระอุปราชวังหน้ารั้งเมืองพิษณุโลก วิชาดาบอาทมาฏ มีจุดเด่นอยู่ที่ความรวดเร็วและรุนแรง สามารถสู้ได้เพียงคนเดียวต่อคู่ต่อสู้หลายคน มีท่ารุกเป็นท่าเดียวกับท่ารับ เมื่อคู่ต่อสู้ฟันมาจะรับและฟันกลับทันที ไม่มีอะไรตายตัว มีแม่ไม้ 3 ท่า คือคลุมไตรภพ ตลบสิงขร และย้อนฟองสมุทร และมีท่าไม้รำ 12 ท่า ได้แก่
โดยหัวใจของวิชาอาทมาฏ มีเป็นคำกล่าวที่คล้องจองกันดังนี้มีเรื่องต้องหนี หนีไม่ได้ให้สู้ สู้ได้อย่าให้เจ็บ เจ็บได้อย่าให้ตายลักษณะของดาบแบบอาทมาฏ จะเป็นดาบสองมือ (ดาบคู่) ที่สั้นและมีน้ำหนักเบา มีความคล่องแคล่ว มีด้ามที่ยาวกว่าดาบปกติ เพื่อป้องกันข้อแขนและเส้นเอ็นของผู้ใช้ อีกทั้งสามารถใช้ผลักหรือดันคู่ต่อสู้ให้เสียหลักได้ รวมถึงใช้กระแทกกระทุ้งด้วย และด้านคมที่ต่อจากด้ามจะเป็นสันที่หนาและยาวใช้สำหรับรับ โดยไม่ใช้ส่วนคมดาบเพราะจะทำให้ดาบบิ่นชำรุดได้ง่าย ซึ่งหัวใจของดาบแบบอาทมาฏ มีเป็นคำที่คล้องจองกัน คือเขาฟันเราไม่รับ เขารับเราไม่ฟัน จะฟันต่อเมื่อเขาไม่รับ จะรับต่อเมื่อหลบหลีกไม่ทัน[2][3]นอกจากนี้แล้ว คำว่า อาทมาฏ ยังเป็นคำใช้เรียกกองทหารหน่วยลาดตระเวนหาข่าวในสมัยโบราณ คล้ายหน่วยรบพิเศษในปัจจุบัน โดยมากมักจะเป็นชาวมอญเนื่องจากสื่อสารได้หลายภาษา[4]วิชาอาทมาฏถูกอ้างอิงถึงในสื่อวัฒนธรรมร่วมสมัย อาทิ ขุนศึก นวนิยายโดย ไม้ เมืองเดิม ในปี พ.ศ. 2497 และในหนังสือการ์ตูนเรื่อง กองอาทมาตประกาศศึก ในปี พ.ศ. 2550 เป็นต้น และอ้างอิงถึงในวรรณคดีของไทยเช่น ขุนช้างขุนแผน เช่น ตัวละคร ขุนไกรพลพ่าย ซึ่งเป็นบิดาของขุนแผน ตัวละครเอก ก็มีสถานะเป็นนายทหารสังกัดกองอาทมาฏ[5]