อำพันขี้ปลา[1] อำพันทอง[1] อำพันทะเล หรือ
ขี้วาฬ เป็น
สารประกอบอินทรีย์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับ
อำพัน เป็นสิ่งที่ได้มาจากทะเลและมหาสมุทร โดยเป็นผลิตผลจากสัตว์ทะเลขนาดใหญ่คือ
วาฬชนิด
วาฬหัวทุย มีลักษณะเด่นคือ มีกลิ่นหอมในยุคโบราณชาวตะวันตกเชื่อว่า อำพันขี้ปลาเกิดจากวาฬกลืนน้ำสีดำจากแม่น้ำสีดำแถบตะวันออกกลางที่มีกลิ่นหอม ชาวเปอร์เซียเรียกว่า อัมบาร์ (ambar) เมื่อแพร่หลายไปยังยุโรป ชาวฝรั่งเศสจึงเรียกว่า อ็องบร์กรี (ambre gris) ซึ่งแปลว่า "อำพันสีเทา" เพื่อแยกแยะจากอำพันอย่างอื่นทั่วไป อำพันขี้ปลาเป็นผลิตผลที่มาจากการ
สำรอกหรือการขับถ่ายของวาฬหัวทุย มีลักษณะเป็นของแข็งซึ่งเป็นก้อน
ไขมันมีหลายเฉดสีตั้งแต่สีเทาหรือสีดำ ไปจนถึงสีโทนอ่อนอย่างสีส้มหรือสีขาวคล้ายหินอ่อน ที่พบเฉพาะในลำไส้ของวาฬหัวทุย มีส่วนประกอบของ
คอเลสเตอรอลและไขมันร้อยละ 80, สารเบนโซอิก และแอลกอฮอล์เชิงซ้อนทำให้มีกลิ่นหอม โดยวาฬหัวทุยจะกินสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังจำพวก
หมึกเป็นอาหารหลัก แต่จะกินเข้าไปโดยไม่มีการเคี้ยวอย่างละเอียดอย่างสัตว์บก แต่จะใช้วิธีการกลืนเข้าไปทั้งตัวแล้วไปย่อยสลายในกระเพาะ แต่คอเลสเตอรอลของหมึกไม่อาจจะย่อยได้ง่าย ประกอบกับหมึกมีปากที่แข็งระคายเนื้อเยื่อของวาฬ คอเลสเตอรอลดังกล่าวจึงไปสะสมเป็นก้อนอยู่ในลำไส้ของวาฬ ซึ่งขณะอยู่ในลำไส้ของวาฬ จะไม่มีกลิ่นหอม แต่จะมีกลิ่นเหม็นเหมือนสิ่งขับถ่ายทั่วไป และมีลักษณะเป็นก้อนสีดำมีความนิ่ม แต่เมื่อวาฬได้ขับถ่ายออกมาแล้วได้เกิดปฏิกิริยากับสายลมและแสงแดดนานนับปี โดยล่องลอยอยู่ในทะเลด้วยค่าความถ่วงจำเพาะที่มีน้อยกว่าน้ำทะเลจึงมีคุณสมบัติทางเคมีเปลี่ยนไป ทำให้มีลักษณะเป็นก้อนแข็งสีขาว น้ำตาล เทา หรือดำ ตามระยะเวลาในการทำปฏิกิริยา ละลายที่อุณหภูมิมากกว่า 62
องศาเซลเซียส แต่ด้วยอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียสจะระเหยเป็นไอ
[2][3]อำพันขี้ปลานับเป็นของมีค่า ราคาแพง และหาได้ยากยิ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีประโยชน์ในการทำเป็นหัว
น้ำหอมและเครื่องสำอาง หรือนำไปแต่งกลิ่นในอาหารหรือไวน์ สำหรับตำราสมุนไพรไทยใช้ทำยาได้
[1] ทำให้มีราคาซื้อขายกิโลกรัมละหลายหมื่นบาท
[4]การหาอำพันขี้ปลากระทำได้ 2 วิธี คือ รอให้ลอยมาติดตาม
ชายฝั่ง หรือล่องเรือออกไปหากลางทะเลและออกล่าวาฬ แล้วผ่าท้องหาจากลำไส้ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการล่าวาฬ ปัจจุบันมีการคุ้มครองตามกฎหมายสากล
[2][3]