ฃ เป็น
พยัญชนะตัวที่ 3 จากพยัญชนะทั้งหมด 44 ตัวใน
อักษรไทย อยู่ในลำดับถัดจาก
ข และก่อนหน้า
ค จัดอยู่ในกลุ่ม
อักษรสูงในระบบ
ไตรยางศ์ มีชื่อเรียกกำกับว่า "ฃ ขวด" เข้าในพวก
กัณฐชะ (เกิดจากเพดานอ่อน) เป็นพยัญชนะชนิดหัวหยักหรือหัวแตก
[1] ออกเสียงอย่าง ข เมื่อเป็น
พยัญชนะต้น แทนเสียง [kʰ] สามารถใช้เป็น
พยัญชนะสะกดในมาตรากกได้ แทนเสียง [k̚] (ในทางทฤษฎี)
[2] ซึ่งเดิมทีนั้น ได้มีการคาดกันว่าเสียงของ ฃ นั้นมีความแตกต่างจากเสียง ข แต่กลับเพี้ยนไปปัจจุบันไม่มีคำศัพท์ในหมวดคำ ฃ ใน
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 โดยระบุว่า ฃ เป็น
อักษรที่ไม่นิยมใช้แล้ว
[3] อย่างไรก็ตาม ยังมีการใช้อักษร ฃ ในบางแวดวง นัยว่าเพื่อเป็นการอนุรักษ์ให้ตัวอักษรไทยมีใช้ครบ 44 ตัว รวมถึงมีการพูดถึงการฟื้นฟูการใช้งานอักษร ฃ ขึ้นมาใหม่ รวมทั้งในแบบเรียนอักษรไทยและบน
แป้นพิมพ์ภาษาไทยก็ยังคงมีอักษร ฃ อยู่อักษร ฃ นี้เป็นอักษรของไทยดั้งเดิม และไม่ปรากฏในชุดอักษรภาษาอื่น ๆ ซึ่งหมายความว่า ในชุดอักษรภาษาอื่น ๆ ที่ลำดับอักษร
ก ข ค ฆ ง แบบเดียวกันกับ
อักษรอินเดีย เช่น
อักษรเทวนาครี อักษรขอม อักษรมอญ ฯลฯ ล้วนไม่มีตัวอักษร ฃ ทั้งสิ้น จึงให้เหตุผลว่า อักษร ฃ น่าจะเป็นการประดิษฐ์แทรกเช่นเดียวกับอักษร
ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ ฯลฯ เมื่อ
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใน
พ.ศ. 1826 และก็ได้เติมพยัญชนะและวรรณยุกต์เข้าในวรรคอักษรแบบอินเดีย เพื่อใช้แทนเสียงที่ภาษาในสมัยนั้นมีอยู่ให้ครบถ้วน
[4] หรือไม่ก็คาดว่า ฃ ได้รับการดัดแปลงมาจาก
ภาษาสันสกฤตนอกจากตัวอักษร ฃ จะปรากฏใน
ภาษาไทยแล้ว ตัวอักษร ฃ นี้ยังมีประวัติการใช้งานอยู่ในภาษาไทยถิ่นอื่นอีก เช่น
คำเมือง[5] (ของ
อาณาจักรล้านนา)
ภาษาไทขาว เป็นต้น