เมนูนำทาง
ยาแก้ซึมเศร้า การใช้ทางการแพทย์สำหรับความซึมเศร้า ผู้พยาบาลบ่อยครั้งใช้แบบวัด Hamilton Depression Rating Scale (HAM-D) เพื่อวัดความหนักเบาของโรคซึมเศร้า[4]คะแนนสูงสุดของแบบวัดที่มี 17 คำถามก็คือ 52 และคะแนนยิ่งสูงเท่าไร โรคก็รุนแรงมากขึ้นเท่านั้นในประเทศไทย กรมสุขภาพจิตกำหนดให้สถานพยาบาลขั้นปฐมภูมิใช้แบบวัดทั้งแบบ 2 คำถาม และ 9 คำถาม โดยคะแนนที่สูงกว่า 7 ในแบบวัด 9 คำถามแสดงว่าต้องมีการตรวจสอบอย่างอื่น ๆ ต่อไป[5]
แนวทางขององค์การสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร (NICE) ปี 2552 ชี้ว่า ยาแก้ซึมเศร้าไม่ควรใช้รักษาเป็นปกติในขั้นเบื้องต้นสำหรับโรคขั้นเบา เพราะว่า อัตราส่วนความเสี่ยง-ประโยชน์ไม่ดีและแนะให้พิจารณาใช้ยาในกรณีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
แนวทางยังกล่าวเพิ่มว่า ยาควรใช้ร่วมกับการแทรกแซงทางจิต-สังคมในกรณีโดยมาก และควรใช้ยาต่ออย่างน้อย 6 เดือนหลังโรคบรรเทาเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ และว่า คนไข้ทนยอมรับยากลุ่ม SSRIs ได้ดีกว่ากลุ่มอื่น ๆ[6]
ส่วนแนวทางรักษาของสมาคมจิตเวชอเมริกัน (APA) แนะนำว่า การรักษาลำดับต้นควรจะปรับให้เหมาะสมกับปัจจัยต่าง ๆ รวมทั้งความรุนแรงของอาการ โรคที่มีร่วมกัน ประสบการณ์การรักษาในอดีต และความชอบใจของคนไข้ทางเลือกการรักษารวมทั้งการใช้ยา จิตบำบัด การรักษาทางจิตเวชด้วยไฟฟ้า (ECT) การกระตุ้นด้วยสนามแม่เหล็กผ่านกะโหลก (TMS) หรือการรักษาด้วยแสงและแนะนำให้ใช้ยาเป็นทางเลือกลำดับต้นสำหรับโรคขั้นเบา ปานกลาง และหนัก แต่ควรให้กับคนไข้หนักทุกคนยกเว้นถ้าจะรักษาด้วย ECT[7]
ในปี 2553 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดพิมพ์ แนวทางการจัดการโรคซึมเศร้าสำหรับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปในสถานบริการระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ (CPG-MDD-GP) ซึ่งมีข้อแนะนำที่สรุปเกี่ยวกับยาแก้ซึมเศร้าดังจะกล่าวต่อไป[8]ให้สังเกตว่า อักษรโรมันหน้ารายการเป็นตัวบ่งความหนักแน่นของหลักฐานตามลำดับ โดย A มีหลักฐานหนักแน่นที่สุด และ D น้อยที่สุด[9]
มีผลขัดแย้งกันจากงานที่วิเคราะห์ประสิทธิผลของยาแก้ซึมเศร้าเปรียบเทียบกับยาหลอกในบุคคลที่มีโรคขั้นอ่อนถึงปานกลางแต่มีหลักฐานที่ชัดเจนกว่าสำหรับโรคขั้นหนัก หรือว่า dysthymia ที่เรื้อรัง
งานวิจัยปี 2545 ค้านว่ายามีผลบรรเทาความซึมเศร้า โดยอ้างว่า หลักฐานแสดงว่ามีฤทธิ์เหมือนยาหลอก[10]นี่เป็นงานวิเคราะห์อภิมานที่รวมข้อมูลจากทั้งงานศึกษาที่ตีพิมพ์ และข้อมูลที่ไม่ได้ตีพิมพ์แต่ได้จากองค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เป็นข้อมูลที่ได้ผ่านกฎหมายบังคับให้เปิดเผยข้อมูลควบคุมโดยรัฐบาล (Freedom of Information Act)ซึ่งสรุปว่า โดยทั่วไปแล้ว ยาแก้ซึมเศร้าทำงานได้ดีกว่ายาหลอก 18% ซึ่งแม้จะมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ก็ไม่มีนัยสำคัญทางคลินิก[11]และในปี 2551 นักวิจัยคนเดียวกันก็สรุปอีกว่า ผลทั่วไปของยาแก้ซึมเศร้ารุ่นใหม่ก็ยังอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ว่ามีนัยสำคัญทางคลินิก[12]
งานศึกษาปี 2553 ที่พุ่งความสนใจไปที่ paroxetine และ imipramine พบว่า ยาแก้ซึมเศร้าดีกว่ายาหลอกเพียงแค่เล็กน้อยในกรณีของโรคขั้นอ่อนจนถึงปานกลาง แต่ว่ามีผลสำคัญ (substantial) ในโรคขั้นหนัก[13]
ในปี 2557 FDA สหรัฐพิมพ์งานปฏิทัศน์เป็นระบบของการทดลองใช้ยาแก้ซึมเศร้าเพื่อดำรงสภาพ (maintenance) ที่ส่งให้กับองค์การในช่วงปี 2528-2555ซึ่งผู้เขียนสรุปว่า การรักษาเพื่อดำรงสภาพลดความเสี่ยงการเกิดโรคอีก 52% เทียบกับยาหลอก และผลต่างที่ว่านี้เป็นเพราะการเกิดโรคซ้ำ ๆ ในกลุ่มยาหลอก ไม่ใช่ผลจากการหยุดยา[14]
ส่วนงานทบทวนวรรณกรรมปี 2552 ที่องค์การสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร (NICE) มอบหมายให้ทำสรุปว่า มีหลักฐานที่เข้มแข็งว่า SSRIs มีประสิทธิผลลดอาการซึมเศร้ามากกว่ายาหลอก 50% ในโรคขั้นปานกลางและหนัก และมีหลักฐานบ้างถึงผลคล้าย ๆ กันในโรคขั้นอ่อนแนวทางการรักษาที่พัฒนาร่วมกับงานทบทวนแสดงว่า ยาควรพิจารณาใช้ในคนไข้ที่มีโรคขั้นกลางจนถึงหนัก และที่มีโรคขั้นอ่อนแต่ว่าคงยืนหรือว่าดื้อการรักษาแบบอื่น ๆ[15]
งานปริทัศน์เป็นระบบแบบคอเครนในปี 2555 ที่ตรวจการทดลองทางคลินิกของยาแก้ซึมเศร้ากลุ่ม tricyclic คือ amitriptylineสรุปว่า แม้ว่าจะมีหลักฐานพอสมควรว่ามีความเอนเอียงในการตีพิมพ์ (คืองานที่แสดงผลบวกมักจะตีพิมพ์มากกว่า) แต่ก็ยังมีหลักฐานที่เข้มแข็งว่าประสิทธิผลของ amitriptyline ดีกว่ายาหลอก[16]
งานปริทัศน์เป็นระบบปี 2558 ที่ตรวจดูการรักษาแบบเพิ่มสำหรับโรคที่ดื้อการรักษาสรุปว่า ยา quetiapine และ aripiprazole มีหลักฐานที่เข้มแข็งที่สุดว่ามีประสิทธิผล แต่ว่าก็สัมพันธ์กับผลข้างเคียงที่เพิ่มขึ้นด้วย[17]
งานทบทวนวรรณกรรมแบบคอเครนปี 2551 ของยาสมุนไพรจากพืชสปีชีส์ Hypericum perforatum (St John's wort) และงานวิเคราะห์อภิมานปี 2558 ที่ทำโดยผู้เขียนเดียวกันบางส่วน ทั้งสองสรุปว่ายามีประสิทธิผลที่ดีกว่ายาหลอกเพื่อรักษาโรคซึมเศร้าและมีประสิทธิผลเท่ากับยาแก้ซึมเศร้ามาตรฐานทั่วไปโดยมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาอื่น ๆ แต่ก็ยังสรุปด้วยว่า ยากที่จะแสดงคุณค่าของสมุนไพรเพื่อรักษาโรคเนื่องจากข้อจำกัดทางหลักฐาน รวมทั้งความแตกต่างทางประสิทธิผลในงานทดลองที่ทำในประเทศที่พูดภาษาเยอรมันซึ่งมากกว่าเทียบกับที่ทำในประเทศอื่น ๆ[2][3] ส่วน Reversible monoamine oxidase A inhibitor (rMAO-A inhibitors) ก็มีหลักฐานแสดงว่ามีประสิทธิผลในการรักษาโดยคนไข้อดทนรับได้ดีกว่ายาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ[2]ถึงอย่างไรก็ดี มีหลักฐานแสดงประสิทธิผลของยากลุ่ม SSRIs, tricyclic และ tetracyclic เพื่อรักษาโรคซึมเศร้ามากกว่ามากเมื่อเทียบกับยาอื่น ๆ รวมทั้ง St John's wort, rMAO-A inhibitors, serotonin-norepinephrine reuptake inhibitor, serotonin antagonist and reuptake inhibitors, noradrenaline reuptake inhibitors, และ noradrenergic and specific serotonergic antidepressant[2]
แต่ก็มีงานปี 2545 ในวารสาร JAMA ที่แสดงว่า แม้ว่าผลต่างของยาหลอกในการทดลองทางคลินิกของโรคซึมเศร้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าผลต่างของยาที่ใช้ทดลองกลับค่อนข้างจะสม่ำเสมอผู้เขียนเสนอว่า คำอธิบายที่เป็นไปได้ว่าทำไมผลต่างของยาหลอกจึงเพิ่มขึ้นในการทดลองก็คือ การรวมผู้ร่วมการทดลองจำนวนมากที่มีโรคแบบสั้น ๆ ขั้นอ่อน หรือการหายเองเพราะตราบาปทางสังคมเหตุใช้ยาแก้ซึมเศร้าได้ลดลง[18]ผลยาหลอกในการทดลองทางคลินิกของการรักษาทางเลือก (CAM) ต่ำกว่าที่พบในการทดลองยาแก้ซึมเศร้าแผนปัจจุบันอย่างสำคัญ[19]
งานทบทวนวรรณกรรมปี 2547 สรุปว่า งานศึกษาที่ไม่สนับสนุนข้ออ้างว่ายาแก้ซึมเศร้ามีประสิทธิผล จะมีโอกาสน้อยกว่ามากที่จะตีพิมพ์เทียบกับที่สนับสนุน[20]ซึ่งก็พบคล้าย ๆ กันในงานทบทวนการทดลองยาแก้ซึมเศร้าในเด็ก[21]งานวิเคราะห์อภิมานปี 2558 ที่ตรวจดูงานศึกษายาแก้ซึมเศร้าพบว่า 79% "ได้การสนับสนุนจากอุตสาหกรรม หรือผู้เขียนเป็นลูกจ้างของอุตสาหกรรม และ/หรือมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์"[22]
งานวิเคราะห์อภิมานปี 2556 พบว่า ฟลูอ๊อกซิติน และ venlafaxine มีประสิทธิผลต่อโรคซึมเศร้าในคนทุกวัยและไม่พบหลักฐานว่า ความรุนแรงของโรคสัมพันธ์กับระดับประโยชน์ที่ได้จากยานอกเหนือจากปรากฏการณ์ยาหลอก[23]
งานวิเคราะห์อภิมานปี 2551 ที่ตรวจการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (RCT) สรุปว่า อาการที่ดีขึ้นเนื่องจากยากลุ่ม SSRIs เกิดขึ้นมากที่สุดโดยสิ้นอาทิตย์แรกของการใช้ยา แต่ว่ามีอาการบางอย่างที่ดีขึ้นต่อ ๆ ไปจนถึงอาทิตย์ที่ 6[24]
สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติสหรัฐ (National Institute of Mental Health) ได้ทำงานที่ใหญ่สุดและมีค่าใช้จ่ายสูงสุดในเรื่องประสิทธิผลของยาต่อโรคซึมเศร้าโดยปี 2555[25]เป็นงานที่เรียกว่า "ทางเลือกการรักษาตามลำดับเพื่อบรรเทาโรคซึมเศร้า (The Sequenced Treatment Alternatives to Relieve Depression)" (STAR*D) โดยผลที่ได้[26][27]จะแสดงย่อ ๆ ในที่นี้
คนไข้มาจากทั้งผู้ที่ไปหาหมอทั่วไปและหมอจิตเวชไม่มีการโฆษณาหาคนไข้เพื่อที่จะให้ผลที่ได้สามารถขยายใช้ได้โดยทั่วไปผู้ร่วมการทดลองต้องได้คะแนนอย่างน้อย 14 คะแนนจากแบบวัดความซึมเศร้า Hamilton Depression Scale แบบ 17 คำถาม (HAM-D17) เพื่อจะเข้าร่วมโดยทั่วไปแล้ว คะแนนระหว่าง 7-17 หมายถึงโรคขั้นอ่อน 18-24 เป็นโรคขั้นกลาง และ ≥ 24 เป็นโรคขั้นรุนแรง[28]และคะแนนเฉลี่ยของผู้ร่วมการทดลองอยู่ที่ 22
จุดสิ้นสุดหลักของการทดลองที่ได้กำหนดล่วงหน้าก็คือการทุเลาโรคตามกำหนดคะแนนจากแบบวัด โดยคนไข้ที่วัดไม่ครบจะกำหนดว่าไม่ตอบสนอง (non-responder)แต่หลังการทดลอง ผู้ตรวจสอบได้แสดงผลตามจุดทุเลาทุติยภูมิตามแบบวัด QIDS-SR16 Score เป็นหลัก ซึ่งมักจะมีค่าสูงกว่าแบบวัดแรก
บุคคลที่ใช้ยารักษาประมาณ 30-50% ไม่ตอบสนองต่อยา[35][36]ในงานศึกษาทางคลินิก คนไข้ประมาณ 1/3 มีโรคทุเลา 1/3 ตอบสนองต่อยา และที่เหลือไม่ตอบสนองผู้ที่ไม่ถึงเกณฑ์ทุเลาก็คือ ยังมีอาการที่กำหนดไม่ชัดเจนหลงเหลืออยู่ซึ่งปกติรวมทั้งอารมณ์ซึมเศร้า ความวิตกกังวล ความผิดปกติในการนอนหลับ ความอ่อนเปลี้ย และความสนใจและความสุขที่ลดน้อยลง
แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าอะไรเป็นตัวพยากรณ์ว่าคนไข้จะทุเลาแค่บางส่วนแต่ก็ชัดเจนว่า อาการที่หลงเหลือเป็นตัวพยากรณ์ทรงพลังว่าโรคจะกลับเกิดอีก โดยมีอัตรา 3-6 เท่ามากกว่าผู้ที่ทุเลาลงอย่างสมบูรณ์[37]นอกจากนั้นแล้ว ยาแก้ซึมเศร้ามักจะสูญประสิทธิผลหลังจากรักษามาเป็นระยะเวลาหนึ่ง[38]แต่ตามข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (CDC) คนอเมริกันที่กำลังทานยาแก้ซึมเศร้าน้อยกว่า 1/3 ได้เข้าพบหมอพยาบาลภายในปีที่ผ่านมา[39]
มีกลยุทธ์จำนวนหนึ่งที่ใช้รักษาเพื่อข้ามข้อจำกัดและความต่าง ๆ กันเหล่านี้[40]รวมทั้งการเปลี่ยนยา การเพิ่มยา และการให้ยารวม
แนวทางการปฏิบัติปี 2543 ของสมาคมจิตเวชอเมริกัน (APA) แนะนำว่า ถ้าไม่ตอบสนองภายใน 6-8 อาทิตย์หลังจากรักษาด้วยยา ให้เปลี่ยนใช้ยาในกลุ่มเดียวกัน แล้วจึงไปเปลี่ยนใช้ยากลุ่มอื่นในภายหลังงานวิเคราะห์อภิมานปี 2549 พบความแตกต่างกันมากมายในงานศึกษาก่อน ๆ คือ คนไข้ที่ไม่ตอบสนองต่อยาแก้ซึมเศร้ากลุ่ม SSRI 12-86% จะตอบสนองต่อยาอีกอย่างหนึ่งแต่ว่า ยิ่งได้ลองยาแก้ซึมเศร้ามามากแล้วเท่าไร โอกาสก็น้อยลงเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์กับยาที่ลองใหม่[36]แต่ว่า งานวิเคราะห์อภิมานปี 2553 ไม่พบความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนยาและการใช้ยาเดิมต่อไป คือ แม้ว่า 34% ของคนไข้ที่ดื้อการรักษาจะตอบสนองเมื่อเปลี่ยนไปใช้ยาใหม่ แต่ว่า 40% ก็จะตอบสนองแม้ไม่ได้เปลี่ยนยา[41]
ถ้ามีการตอบสนองบ้าง แนวทางของ APA เสนอให้เพิ่มยากลุ่มอื่น (augmentation)รวมทั้ง Lithium, thyroid augmentation, dopamine agonist, sex steroid, Norepinephrine reuptake inhibitor, glucocorticoid-specific agent หรือยาแก้ชักรุ่นใหม่ ๆ[42]
ส่วนกลยุทธ์รวมยา (combination) หมายถึงการเพิ่มยาแก้ซึมเศร้าอีกอย่างหนึ่ง โดยปกติเป็นอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อจะได้มีผลในด้านอื่น ๆ แม้ว่าวิธีนี้อาจจะใช้รักษา แต่ก็มีหลักฐานน้อยมากเกี่ยวกับประสิทธิผลสัมพัทธ์และอาการที่ไม่พึงประสงค์จากยาเนื่องจากการใช้วิธีนี้[43]
การทดลองที่ทำเมื่อไม่นานนี้รวมการใช้ยากระตุ้น (psychostimulant) เป็นยาเพิ่มงานศึกษาหลายงานพบประสิทธิผลเมื่อให้ modafinil เป็นยารวมสำหรับโรคที่ดื้อการรักษาเพื่อช่วยบรรเทาความอ่อนเปลี้ยที่เกิดจากยา SSRI[44]
ผลรักษาของยาแก้ซึมเศร้าปกติจะไม่ดำเนินต่อหลังจากการใช้ยาสักระยะหนึ่ง ทำให้อัตราโรคกลับอยู่ในระดับสูงงานวิเคราะห์อภิมานปี 2546 ในงานทดลองยาแก้ซึมเศร้าที่ควบคุมด้วยยาหลอก โดยมากจำกัดในงานที่มีระยะ 1 ปี พบว่า คนไข้ 18% ที่ตอบสนองต่อยาแก้ซึมเศร้าเกิดโรคอีกแม้ยังทานยาอยู่ เทียบกับ 41% ที่เกิดโรคอีกเมื่อเปลี่ยนจากยาแก้ซึมเศร้ามาเป็นยาหลอก[45]
ประโยชน์การรักษาแบบค่อย ๆ ลดจะเกิดขึ้นในคนกลุ่มน้อยในช่วงรักษา[46][47]มีงานศึกษาที่เสนอกลยุทธ์ใช้ยารักษาในระยะรุนแรง (acute) ตามด้วยจิตบำบัดในช่วงที่ดีขึ้น (residual)[48][49]
ยา | ประสิทธิผลสัมพัทธ์ | การทนรับได้ | อันตราย เมื่อเกินขนาด | น้ำหนักเพิ่ม | ความดันต่ำเมื่อยืน | ผลระงับ | ผลกระตุ้น | Anti- cholinergic | ระยะ QT ยาว | พิษต่อ ทางเดินอาหาร | SD |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
[3][50][51][52][53] | [3][52][53][54] | [50][51][55] [3][52][53][54] | [3][52][53][55][56] | [3][51][52][53][55] | [3][51][52][53][55][57] | [3][51][52][53][55][57] | [3][51][52][53][55] | [51][55] [3][52][53][57] | [3][51][52][53][55] | [3][51][52][53][55] | [3][51][52][53][55] |
Tricyclic antidepressants (TCAs) | |||||||||||
ยา | ประสิทธิผลสัมพัทธ์ | การทนรับได้ | อันตราย เมื่อเกินขนาด | น้ำหนักเพิ่ม | ความดันต่ำเมื่อยืน | ผลระงับ | ผลกระตุ้น | Anti- cholinergic | ระยะ QT ยาว | พิษต่อ ทางเดินอาหาร | SD |
Amitriptyline | 3 | 1 | 3 | 4 | 3 | 4 | v | 4 | 3 | 1 | 4/3 |
Amoxapine | 2 | 2 | 4 | 2 | 2 | 2 | 2 | 2 | 2 | v | ND |
Clomipramine | 3 | 2/1 | 2 | 2 | 2 | 4/3 | v | 4 | 2 | 1 | 4 |
Desipramine | 2 | 2/1 | 3 | 1 | 1 | 1/v | 1 | 1 | 2 | 1/v | ND |
Dosulepin (Dothiepin) | 2 | 1 | 4[57] | ? | 3/2 | 3/2 | v | 3/2 | 2 | v | 3/2 |
Doxepin | 2 | 2/1 | 3 | 3 | 4 | 3 | v | 3 | 3 | v | 3 |
Imipramine | 3[58][59] | 1 | 3 | 4 | 4/3 | 3 | 1 | 3 | 3 | 1 | 3 |
Lofepramine | 2 | 3 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 2 | 1 | ? | ? |
Maprotiline | 2 | 2/1 | 4 | 2 | 2 | 3 | v | 2 | 3 | v | ND |
Nortriptyline | 2 | 2 | 2 | 1 | 2 | 1 | v | 1 | 2 | v | ND |
Protriptyline | 2 | 2/1 | 2 | 1 | 2 | 1 | 1 | 2 | 3 | 1 | 4/3 |
Tianeptine | 2 | 4 | ? | ? | ? | ? | ? | ? | ? | ? | ? |
Trimipramine | 2 | 1 | 2 | 4 | 3 | 4 | 1 | 4 | 2 | 2 | v |
Monoamine oxidase inhibitors (MAOIs) | |||||||||||
ยา | ประสิทธิผลสัมพัทธ์ | การทนรับได้ | อันตราย เมื่อเกินขนาด | น้ำหนักเพิ่ม | ความดันต่ำเมื่อยืน | ผลระงับ | ผลกระตุ้น | Anti- cholinergic | ระยะ QT ยาว | พิษต่อ ทางเดินอาหาร | SD |
Isocarboxazid | 2 | 1 | 3 | 1 | 2 | 1 | 2 | 1 | v | 1 | 4 |
Moclobemide | 2 | 3 | 1 | v | v | v | ? | v | v | v | 1/v |
Phenelzine | 2 | 1 | 3 | 2 | 3 | 1 | 1 | 1 | v | 1 | 4 |
Seligiline | ? | 3 | 2 | v | 1 | v | 1 | 1 | v | v | v |
Tranylcypromine | 2 | 1 | 3 | 1 | 2 | v | 2 | 1 | v | 1 | 4 |
Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) | |||||||||||
ยา | ประสิทธิผลสัมพัทธ์ | การทนรับได้ | อันตราย เมื่อเกินขนาด | น้ำหนักเพิ่ม | ความดันต่ำเมื่อยืน | ผลระงับ | ผลกระตุ้น | Anti- cholinergic | ระยะ QT ยาว | พิษต่อ ทางเดินอาหาร | SD |
Citalopram | 2 | 3 | 2 | 1 | 1 | v | 1 | v | 2 | 1 | 3 |
Escitalopram | 3 | 3 | 1 | 1 | 1 | v | 1 | v | 1 | 1 | 3 |
ฟลูอ๊อกซิติน | 2 | 3 | 1 | 1 | 1 | v | 2 | v | 1 | 1 | 3 |
Fluvoxamine | 2 | 3 | 2 | 1 | 1 | 1 | 1 | v | 1/v | 2 | 3 |
Paroxetine | 2 | 3 | 1 | 2 | 2 | 1 | 1 | 1 | 1/v | 1 | 4 |
Sertraline | 3 | 3 | 1 | 1 | 1 | v | 2 | v | 1/v | 2 | 3 |
Serotonin-norepinephrine reuptake inhibitors (SNRIs) | |||||||||||
ยา | ประสิทธิผลสัมพัทธ์ | การทนรับได้ | อันตราย เมื่อเกินขนาด | น้ำหนักเพิ่ม | ความดันต่ำเมื่อยืน | ผลระงับ | ผลกระตุ้น | Anti- cholinergic | ระยะ QT ยาว | พิษต่อ ทางเดินอาหาร | SD |
Desvenlafaxine | 2 | 3/2 | 1/2 | v | v | v | 2 | v | v | 2/1 | 3 |
Duloxetine | 2 | 3 | 1 | v | v | v | 2 | v | v | 2 | 3 |
Milnacipran | 2 | 3 | ? | v | v | v | 2 | 1 | v | 2 | v |
Venlafaxine | 3 | 2 | 2 | v | v | v | 2 | v | 1 | 2 (IR) 1 (XR) | 3 |
Noradrenergic and specific serotonergic antidepressants (NaSSAs) | |||||||||||
ยา | ประสิทธิผลสัมพัทธ์ | การทนรับได้ | อันตราย เมื่อเกินขนาด | น้ำหนักเพิ่ม | ความดันต่ำเมื่อยืน | ผลระงับ | ผลกระตุ้น | Anti- cholinergic | ระยะ QT ยาว | พิษต่อ ทางเดินอาหาร | SD |
Mianserin | 2 | 3 | ? | 4 | v | 4 | v | 1 | 1 | v | 1 |
Mirtazapine | 3 | 3 | 1 | 4 | v | 4 | v | 1 | 1 | v | 1 |
Serotonin antagonist and reuptake inhibitors (SARIs) | |||||||||||
ยา | ประสิทธิผลสัมพัทธ์ | การทนรับได้ | อันตราย เมื่อเกินขนาด | น้ำหนักเพิ่ม | ความดันต่ำเมื่อยืน | ผลระงับ | ผลกระตุ้น | Anti- cholinergic | ระยะ QT ยาว | พิษต่อ ทางเดินอาหาร | SD |
Nefazodone | 2 | 3 | 2/1 | v | 1 | 2 | v | 1 | v | 2 | v |
Trazodone | 2[60] | 3 | 1 | 1 | 3 | 4 | v | v | 2 | 3 | 1 |
Serotonin modulator and stimulators (SMSs) | |||||||||||
ยา | ประสิทธิผลสัมพัทธ์ | การทนรับได้ | อันตราย เมื่อเกินขนาด | น้ำหนักเพิ่ม | ความดันต่ำเมื่อยืน | ผลระงับ | ผลกระตุ้น | Anti- cholinergic | ระยะ QT ยาว | พิษต่อ ทางเดินอาหาร | SD |
Vilazodone | 2 | 3/2 | ? | v | v | v | 2 | v | v | 4 | 2 |
Vortioxetine | 2 | 3 | ? | v | v | v | 1/v | v | v | 3 | 1 |
อื่น ๆ | |||||||||||
ยา | ประสิทธิผลสัมพัทธ์ | การทนรับได้ | อันตราย เมื่อเกินขนาด | น้ำหนักเพิ่ม | ความดันต่ำเมื่อยืน | ผลระงับ | ผลกระตุ้น | Anti- cholinergic | ระยะ QT ยาว | พิษต่อ ทางเดินอาหาร | SD |
Agomelatine | 2[61] | 3 | 1 | v | v | 1 | 1 | v | v | 1 | 1/v |
Bupropion | 2 | 3 | 3/2 | v | v | v | 2/1 | v | 1 | 1 | v |
Reboxetine | 1 | 3 | 1 | v | v | v | 2 | v | v | 1 | 1 |
St John's wort | 3/2 | 4 | 1 | 1/v | 1/v | 1/v | 1/v | 1/v | 1/v | 1/v | 1/v |
หมายเหตุ:
สำหรับผลไม่พึงประสงค์/พิษเมื่อใช้เกินขนาด
สำหรับการทนรับได้ (tolerability)
สำหรับประสิทธิผล
ตัวย่อ/คำที่ใช้ในตาราง:
Tricyclic antidepressants (TCAs) | |
ยา | หมายเหตุ |
---|---|
Amitriptyline | ยับยั้งการนำเซโรโทนิน (serotonin reuptake) ไปใช้ใหม่ในอัตรา 8 เท่าของนอร์เอพิเนฟริน แต่การยับยั้งนอร์เอพิเนฟรินก็ยังมีนัยสำคัญทางคลินิก[50] งานทบทวนวรรณกรรมปี 2557 แสดงว่ามีพิษต่อตับ (hepatotoxic) มากกว่ายาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ[62] |
Amoxapine | บางครั้งจัดเป็นพวกเดียวกับยากลุ่ม tetracyclic มีฤทธิ์รักษาโรคจิตที่ไม่ทั่วไปด้วย (atypical antipsychotic) อาจออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า ยังไม่อนุมัติให้ใช้ในออสเตรเลีย แคนาดา หรือสหราชอาณาจักร แต่มีใช้ในสหรัฐอเมริกา |
Clomipramine | ยับยั้งการนำเซโรโทนินไปใช้ใหม่โดยเฉพาะ (~120x) มีโอกาสทำให้เกิดอาการลมชักมากกว่า TCA ชนิดอื่น ๆ[50] |
Desipramine | ยับยั้งการนำนอร์เอพิเนฟรินไปใช้ใหม่ (norepinephrine reuptake) เป็น 22 เท่าของเซโรโทนิน[50] |
Dosulepin (Dothiepin) | ไม่มีขายในสหรัฐอเมริกา มีในออสเตรเลีย (ซึ่งมักจะเรียกว่า dothiepin) และสหราชอาณาจักร น้ำหนักเพิ่ม น่าจะอยู่ที่ 2 |
Doxepin | ยับยั้งการนำนอร์เอพิเนฟรินไปใช้ใหม่ (norepinephrine reuptake) โดยเฉพาะเป็น 2.3 เท่าของเซโรโทนิน |
Imipramine | เป็นยาแก้ซึมเศร้ากลุ่ม Tricyclic ที่วางตลาดเป็นยาแรก ยับยั้งการนำเซโรโทนินไปใช้ใหม่ (serotonin reuptake) โดยเฉพาะเป็น 26 เท่าของนอร์เอพิเนฟริน เป็นพิษต่อตับมากกว่ายาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ โดยมาก[62] |
Lofepramine | ไม่ได้รับอนุมัติในออสเตรเลีย สหรัฐ หรือแคนาดา ได้ในสหราชอาณาจักรและประเทศยุโรปอื่น ๆ ระยะ QT ยาวอยู่ที่ 1 ขึ้นอยู่กับขนาดที่ใช้ |
Maprotiline | ยับยั้งการนำนอร์เอพิเนฟรินไปใช้ใหม่โดยเฉพาะเป็น ~90 เท่าของโดพามีน[50] |
Nortriptyline | เป็นเมแทบอไลต์ออกฤทธิ์ของ amitriptyline ยับยั้งการนำนอร์เอพิเนฟรินไปใช้ใหม่โดยเฉพาะ (4.2x) |
Protriptyline | ยับยั้งการนำนอร์เอพิเนฟรินไปใช้ใหม่โดยเฉพาะเป็น 14 เท่าของเซโรโทนิน |
Tianeptine | เพิ่มการนำเซโรโทนินไปใช้ใหม่และเพิ่มการสื่อสารทางประสาทแบบโดพามีนและกลูตาเมต ไม่ได้อนุมัติให้ใช้เพื่อรักษาในออสเตรเลีย แคนาดา สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และไอร์แลนด์ มีพิษต่อตับมากกว่ายาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ โดยมาก[62] |
Trimipramine | มีฤทธิ์ระงับระบบโดพามีน (antidopaminergic) และดังนั้น สามารถเป็นเหตุต่อผลข้างเคียงแบบ extrapyramidal side effects คือ อาการยึกยือเหตุยา (tardive dyskinesia) และกลุ่มอาการร้ายจากยารักษาโรคจิต (neuroleptic malignant syndrome) |
Monoamine oxidase inhibitors (MAOIs) | |
ยา | หมายเหตุ |
Isocarboxazid | ไม่อนุมัติให้ใช้ในออสเตรเลีย |
Moclobemide | เป็นยารักษาชนิดเดียวในกลุ่ม reversible inhibitor of monoamine oxidase A (RIMA) ไม่อนุมัติให้ใช้ในสหรัฐอเมริกา อนุมัติให้ใช้รักษาในออสเตรเลีย แคนาดา ประเทศยุโรปโดยมาก (รวมทั้งประเทศเช็กเกีย ฟินแลนด์ และไอร์แลนด์) นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ และสหราชอาณาจักร ผลกระตุ้น ? (แต่การนอนไม่หลับเป็นผลสามัญตาม AMH) |
Phenelzine | มีแนวโน้มมากกว่า tranylcypromine และยาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ โดยมากที่จะทำตับให้เสียหาย[62] |
Seligiline | ดั้งเดิมใช้รักษาโรคพาร์คินสันเนื่องจาก ยับยั้ง MAO-B แบบกลับไม่ได้ แต่ว่าในขนาดที่สูงขึ้นก็จะยับยั้ง MAO-A ด้วย |
Tranylcypromine | สลายเป็น analogue ของแอมเฟตามีนภายในกาย สามารถทำให้ตับเสียหาย[57] |
Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) | |
ยา | หมายเหตุ |
Citalopram | เป็น SSRI ที่มีโอกาสที่จะทำให้ระยะ QT ของคลื่นหัวใจยาวขึ้น เป็นพิษมากที่สุดเมื่อใช้เกินขนาดในบรรดา SSRI มีพิษต่อตับน้อยกว่ายาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ โดยมาก[62] ระยะ QT อยู่ที่ 2 (ขึ้นอยู่กับขนาด มากกว่า 40 mg/วัน อันตรายเป็นพิเศษ) |
Escitalopram | เป็น S-enantiomer ที่มีฤทธิ์แรงกว่าของ citalopram อาจเป็นยา SSRI ที่มีผลมากที่สุด แม้ว่าจะยังไม่พบประสิทธิผลที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่าง sertraline และ escitalopramตามหลักฐานที่มีอยู่ ถ้าใช้เกินขนาดจะมีพิษน้อยกว่ายาในรูปแบบแรซีมิกของมัน คือ (R,S) -citalopramและมีพิษต่อตับน้อยกว่ายาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ โดยมาก[62] |
ฟลูอ๊อกซิติน | ยา SSRI แรกที่ได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐในปี 2530 งานศึกษาบางงานพบว่า คนไข้ที่ทานยาจะมีน้ำหนักลงนิดหน่อย (บ่อยครั้งโดยไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ)มีระยะครึ่งชีวิตสุทธิที่นานที่สุด (โดยนับผลของเมแทบอไลต์ออกฤทธิ์ของมันคือ norfluoxetine ด้วย) ของยาแก้ซึมเศร้าทั้งหมดที่ใช้รักษา และดังนั้น เมื่อหยุดทานอย่างกะทันหัน ปกติจะมีอาการหยุดยาน้อยมากและที่มีก็เบาปฏิกิริยาทางผิวหนังเกิดขึ้นบ่อยกว่าเทียบกับ sertraline[52] |
Fluvoxamine | ไม่ได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐให้ใช้รักษาโรคซึมเศร้า แต่ให้ใช้เพื่อโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ในบรรดายา SSRI มี affinity กับตัวรับ sigma-1 มากที่สุดโดยเป็นตัวทำการ[65][66] มีพิษต่อตับน้อยกว่ายาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ โดยมาก[62] |
Paroxetine | เป็นยา SSRI ประเภทเดียวที่ไม่ได้อยู่ในยาหมวด C สำหรับหญิงมีครรภ์ของประเทศออสเตรเลียแต่อยู่ในหมวด D เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตในปอดสูงยังคงอยู่ในทารกแรกเกิด (PPHN) องค์การอาหารและยาสหรัฐก็จัดอยู่ในหมวด D ด้วยเป็นยาที่สัมพันธ์กับโอกาสเสี่ยงของความผิดปกติทางเพศ การเพิ่มน้ำหนัก และผลข้างเคียงแบบ anticholinergic รวมทั้งความง่วงนอนมากกว่า SSRI อื่น ๆในบรรดายา SSRI มีระยะครึ่งชีวิตที่สั้นที่สุด จึงเสี่ยงอาการหยุดยามากที่สุดเมื่อไม่ได้ทานยามี affinity ในระดับต่ำสุดต่อตัวรับ sigma-1[65] และเป็นยาที่เสี่ยงที่สุดต่อผลข้างเคียงแบบ extrapyramidal symptoms[64]มีพิษต่อตับน้อยกว่ายาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ โดยมาก[62] |
Sertraline | เสี่ยงสูงสุดต่อผลข้างเคียงทางจิตเวช (เช่น อาการฟุ้งพล่าน พฤติกรรม/ความคิดฆ่าตัวตาย โรคจิต เป็นต้น)[52] มีผลยับยั้งการนำโดพามีนไปใช้ใหม่เล็กน้อย (แต่มีนัยสำคัญทางคลินิก)[67][68]ในบรรดายา SSRI มี affinity สูงเป็นอันดับสองต่อตัวรับ sigma-1 โดยเป็นตัวทำการ[66] พิษต่อทางเดินอาหารอยู่ที่ระดับ 2 โดยมากเป็นอาการท้องร่วง[55] |
Serotonin-norepinephrine reuptake inhibitors (SNRIs) | |
ยา | หมายเหตุ |
Desvenlafaxine | เป็นเมแทบอไลต์ออกฤทธิ์ของ venlafaxine |
Duloxetine | โดยไม่เหมือนยา SNRI ที่กล่าวถึงในที่นี้ duloxetine ไม่มีผลข้างเคียงสามัญเป็นความดันสูงโดยขึ้นอยู่กับขนาดที่ใช้ เป็นยาที่ใช้บรรเทาความเจ็บปวดเหตุประสาท (neuropathic pain) ด้วย และมีพิษต่อตับมากกว่ายาแก้ซึมเศร้าอื่น ๆ โดยมาก[62] |
Milnacipran | ใช้โดยหลักเพื่อรักษาความเจ็บปวดเหตุประสาท (neuropathic pain) อันตรายเมื่อใช้เกินขนาด ? (ยังไม่มีการรายงานเสียชีวิตเนื่องจากใช้ยานี้อย่างเดียว) |
Venlafaxine | ยับยั้งการนำเซโรโทนินไปใช้ใหม่โดยเฉพาะเป็น 116 เท่าของนอร์เอพิเนฟริน |
Noradrenergic and specific serotonergic antidepressants (NaSSAs) | |
ยา | หมายเหตุ |
Mianserin | ไม่อนุมัติให้ใช้ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา อนุมัติให้ใช้ในออสเตรเลียและสหราชอาณาจักร สามารถก่อ blood dyscrasias (รวมทั้ง agranulocytosis) คือ การลดระดับของ Neutrophils รวมทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาว ดังนั้นทั้ง British National Formulary และ AMH จึงแนะนำให้คอยตรวจสอบโดยการตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์[57][69] |
Mirtazapine | อนุมัติให้ใช้ในสหรัฐ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และแคนาดา เป็นทั้ง analogue และยาที่ใช้แทน Mianserin ต่อมา |
Serotonin antagonist and reuptake inhibitors (SARIs) | |
ยา | หมายเหตุ |
Nefazodone | มีความเสี่ยงต่อการเป็นพิษต่อตับ อนุมัติให้ใช้ในสหรัฐ แต่ไม่ได้อนุมัติในแคนาดา ออสเตรเลีย หรือยุโรป |
Trazodone | ไม่อนุมัติให้ใช้ในออสเตรเลีย มีพิษต่อตับมากกว่ายาแก้ซึมเศร้าอื่น[62] |
Serotonin modulator and stimulators (SMSs) | |
ยา | หมายเหตุ |
Vilazodone | มีโอกาสให้ผลข้างเคียงเป็นเซโรโทนินเป็นพิษ อันตรายเมื่อใช้เกินขนาด ? (น่าจะต่ำนอกเหนือไปจากเซโรโทนินเป็นพิษ) |
Vortioxetine | วางตลาดในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนกันยายน 2556 และดังนั้น ข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงจึงน้อย แต่ผลข้างเคียงคือเซโรโทนินเป็นพิษเป็นไปได้แม้จะน้อย |
อื่น ๆ | |
ยา | หมายเหตุ |
Agomelatine | ไม่อนุมัติให้ใช้ในสหรัฐหรือแคนาดา อนุมัติในออเสตรเลียและสหราชอาณาจักร |
Bupropion | อนุมัติให้ใช้ในสหราชอาณาจักรและออเสตรเลียเพื่อช่วยหยุดบุหรี่เท่านั้น แต่สหรัฐอเมริกาอนุมัติให้ใช้รักษาโรคซึมเศร้า เป็นพิษต่อตับมากกว่ายาแก้ซึมเศร้าอื่น[62] |
Reboxetine | ไม่อนุมัติให้ใช้ในสหรัฐหรือแคนาดา อนุมัติในออสเตรเลียและสหราชอาณาจักร |
St John's wort | ไม่ใช่ยาต้องใช้ใบสั่งยาในประเทศโดยมาก มีขายโดยเป็นยาสมุนไพร |
องค์การสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร NICE แนะนำให้ใช้ยาแก้ซึมเศร้ารักษาโรควิตกกังวลทั่วไป (generalized anxiety disorder ตัวย่อ GAD) ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอนุรักษ์เช่นการให้การศึกษาและช่วยตนเองGAD เป็นโรคสามัญที่อาการสำคัญก็คือ ความวิตกกังวลเกินไปเกี่ยวกับเหตุการณ์และปัญหาหลายอย่าง และความลำบากในการควบคุมความคิดที่ทำให้เป็นห่วงที่คงยืนอย่างน้อยเป็นระยะ 6 เดือน
ยาแก้ซึมเศร้าลดความวิตกกังวลใน GAD ได้ในระดับพอประมาณจนถึงปานกลาง[70]และมีผลดีกว่ายาหลอก[71]ประสิทธิผลของยาแก้ซึมเศร้าต่าง ๆ ล้วนคล้ายคลึงกัน[70][71]
SSRIs ใช้เป็นการรักษาลำดับสองสำหรับโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ในผู้ใหญ่ที่มีความพิการขั้นอ่อน และลำดับหนึ่งสำหรับผู้มีความพิการปานกลางจนถึงรุนแรงในเด็ก SSRIs พิจารณาว่าเป็นการรักษาลำดับสองสำหรับเด็กพิการปานกลางจนถึงรุนแรง โดยต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อเช็คผลที่ไม่พึงประสงค์ทางจิตเวช[72]SSRIs มีประสิทธิผลในการรักษา OCD คือ คนไข้มีโอกาสสองเท่าที่จะตอบสนองเทียบกับยาหลอก[73][74]ประสิทธิผลปรากฏทั้งในงานทดลองระยะสั้นเป็นเวลา 6-24 สัปดาห์และงานทดลองแบบ discontinuation เป็นระยะ 28-52 สัปดาห์[75][76][77]
NICE แนะนำให้ใช้ยาแก้ซึมเศร้าเป็นการรักษาทางเลือกหรือการรักษาเพิ่มในขั้นแรก ที่ใช้โปรแกรมช่วยตัวเองในการรักษาโรคหิวไม่หายแบบทานแล้วอาเจียน (bulimia nervosa)[78]ยากลุ่ม SSRIs โดยเฉพาะฟลูอ๊อกซิตินเป็นยาที่นิยมมากกว่ายาแก้ซึมเศร้าแบบอื่น ๆ เนื่องจากการยอมรับได้ การอดทนได้ และการลดระดับอาการที่ดีกว่าในการทดลองระยะสั้น แม้ว่าประสิทธิผลระยะยาวยังไม่ชัดเจนBupropion ไม่แนะนำให้ใช้รักษาความผิดปกติในการรับประทาน เนื่องจากเสี่ยงต่อการชัก[79]
NICE แนะนำแบบเดียวกันสำหรับ binge eating disorder (โรคหิวไม่หายแบบไม่อาเจียน)[78]โดย SSRIs ลดพฤติกรรมทานมากเกินไปในระยะสั้น แต่ไม่สัมพันธ์กับการลดน้ำหนักอย่างสำคัญ[80]
งานทดลองทางคลินิกโดยมากแสดงผลลบในการใช้ SSRIs เพื่อรักษาโรคเบื่ออาหารเหตุจิตใจ (anorexia nervosa)[81]NICE[78]แนะนำไม่ให้ใช้ SSRIs สำหรับโรคนี้ส่วนแนวทางจากสมาคมจิตเวชอเมริกัน (APA) ให้ข้อสังเกตว่า SSRIs ไม่มีผลเพิ่มน้ำหนัก แต่อาจใช้รักษาโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และโรคย้ำคิดย้ำทำที่เป็นไปด้วยกัน[80]
งานวิเคราะห์อภิมานปี 2555 สรุปว่า ยาแก้ซึมเศร้าสามารถปรับปรุงเรื่องความเจ็บปวด คุณภาพชีวิตเกี่ยวกับสุขภาพ ความซึมเศร้า และปัญหาการนอนหลับในโรคไฟโบรไมอัลเจียได้ยากลุ่ม Tricyclic ดูจะมีประสิทธิผลดีสูงสุด โดยมีผลพอสมควรต่อความเจ็บปวดและการนอนหลับ และมีผลน้อยต่อความอ่อนเปลี้ยและคุณภาพชีวิตเกี่ยวกับสุขภาพอัตราของบุคคลที่ความเจ็บปวดลดลง 30% เนื่องจากรับยา tricyclics อยู่ที่ 48% เทียบกับ 28% สำหรับยาหลอกสำหรับคนที่ได้ SSRIs อัตราอยู่ที่ 36% เทียบกับ 20% ที่ได้ยาหลอก และสำหรับ SNRIs อยู่ที่ 42% เทียบกับ 32% ที่ได้ยาหลอกแต่ว่า การเลิกยาเพราะผลข้างเคียงเป็นเรื่องสามัญ[82]องค์กร European League Against Rheumatism (EULAR) แนะนำยาแก้ซึมเศร้ารวมทั้ง amitriptyline, ฟลูอ๊อกซิติน, duloxetine, milnacipran, moclobemide, และ pirlindole เพื่อบำบัดไฟโบรไมอัลเจีย โดยอาศัย "หลักฐานที่จำกัด"[83]
งานวิเคราะห์อภิมานแบบคอเครนปี 2557 พบว่า ยาแก้ซึมเศร้า duloxetine มีประสิทธิผลในการบำบัดความเจ็บปวดที่เกิดจากโรคเส้นประสาทเหตุเบาหวาน (diabetic neuropathy)[84]นักวิจัยกลุ่มเดียวกันทบทวนข้อมูลของยา amitryptyline เพื่อรักษาโรคเดียวกันแต่พบข้อมูลงานศึกษาทางคลินิกแบบสุ่มที่สำเร็จประโยชน์น้อยมาก แต่สรุปว่า ประวัติอันยาวนานในการใช้รักษาไฟโบรไมอัลเจียและความเจ็บปวดเหตุประสาทได้อย่างสำเร็จ เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะใช้รักษาต่อไป[85]
เมนูนำทาง
ยาแก้ซึมเศร้า การใช้ทางการแพทย์ใกล้เคียง
ยาแก้ ยาแก้ซึมเศร้า ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ ยาแก้ท้องอืด ยาแก้สรรพโรค ยาแก้ท้องร่วง ยาแก้เกร็ง ยาแก้ปวดอนุพันธุ์ฝิ่น ยาแก้ชัก ยาแก้ปวดแหล่งที่มา
WikiPedia: ยาแก้ซึมเศร้า http://america.aljazeera.com/articles/2014/1/22/pa... http://www.cmcsb.com/tranquil.htm http://linkinghub.elsevier.com/retrieve/pii/S0014-... http://linkinghub.elsevier.com/retrieve/pii/S03768... http://www.jpharmacol.com/text.asp?2012/3/3/287/99... http://www.latimes.com/science/sciencenow/la-sci-f... http://www.mayoclinic.com/health/depression/DS0017... http://reference.medscape.com/drug/remeron-soltab-... http://www.medscape.com/viewarticle/570825+ http://www.merckmanuals.com/professional/psychiatr...