เมนูนำทาง
5.56×45_มม._นาโต ประวัตินับแต่ประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศเอกราชจากประเทศอังกฤษได้สำเร็จ กองทัพสหรัฐฯได้ประจำการปืนเล็กยาวแบบคาบศิลาเป็นจำนวนมากจนเมื่อล่วงเข้าสู่ยุคของกระสุนแบบปลอกโลหะและดินควันน้อย กองทัพสหรัฐฯจึงได้ทยอยเปลี่ยนจากปืนคาบศิลามาเป็นปืนเล็กยาวที่ใช้กระสุนแบบครบนัดทั้งหมด โดยได้เลือกประจำการปืนเล็กยาวขนาด .30 นิ้วมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1892 ปืนเล็กยาวรุ่นแรกที่ประจำการ คือ ปืน Krag-Jørgensen ขนาด .30-40 Kragของประเทศนอร์เวย์ แต่เนื่องจากปืนรุ่นนี้มีปัญหาหลายประการ ในภายหลังกองทัพสหรัฐฯจึงได้ซื้อสิทธิบัตรปืนเล็กยาว Gewehr 98 จากบริษัทเมาเซอร์ ประเทศเยอรมนี พร้อมทั้งนำระบบดึงขึ้นเข็มแทงชนวนของปืน Krag มาติดตั้งเพิ่มเข้าไปและผลิตเป็นปืน M1903 Springfield และได้นำกระสุนขนาด 8 มม. เมาเซอร์ (7.92×57 มม.) มาทำการดัดแปลงให้ใช้กับหัวกระสุนขนาด .30 นิ้วเดิมของปืน Krag ต่อไป พร้อมทั้งยืดปลอกออกเป็น 63 มิลลิเมตรทำให้บรรจุดินส่งได้มากขึ้นและเรียกว่ากระสุนใหม่นี้ว่า .30-06 Springfield (7.62×63 มม.)
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพฯสหรัฐฯได้เริ่มทยอยโอนปืน M1903 Springfield ไปให้กองกำลังท้องถิ่นและบางส่วนได้นำมาดัดแปลงเป็นปืนเล็กยาวซุ่มยิง M1903A4 ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามเกาหลี ในขณะเดียวกันก็ได้ทยอยบรรจุปืนเล็กยาวบรรจุเอง M1 Garand เข้าประจำการ โดยปืน M1 Garand ออกแบบโดยจอห์น ซี กาแรนด์ ซึ่งในช่วงแรกออกแบบให้ใช้กับกระสุนขนาด 7×51 มิลลิเมตร (.276 Pedersen) และสามารถบรรจุในคลิปกระสุนได้ 10 นัด แต่เมื่อกองทัพสหรัฐฯรับมาพิจารณาใน ค.ศ.1932 ก็มีคำสั่งให้เปลี่ยนมาใช้กระสุน .30-06 ทำให้ปืนบรรจุกระสุนได้เพียง 8 นัด และรับเข้าประจำการเมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1936 ให้ชื่อเป็นทางการว่า United States Rifle, Caliber .30, M1 และใช้งานมาจนถึงสงครามเกาหลี โดยในระหว่างที่ปืน M1 Garand ประจำการนี้ กองทัพสหรัฐฯก็ได้มีโครงการ T20 ทำการดัดแปลงปืน M1 Garand ให้บรรจุกระสุนได้มากขึ้นโดยใช้ซองกระสุน 20 นัดของปืนเล็กกล M1918 Browning Automatic Rifle (BAR) และทำการเพิ่มระบบยิงแบบอัตโนมัติเข้าไปกลายเป็นโครงการ T37
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีการวิจัยดินขับแบบใหม่ขึ้นจนสำเร็จจนสามารถใช้ในปริมาณน้อยลงแต่ให้แรงขับเท่าเดิม กองทัพสหรัฐฯจึงได้นำกระสุน .30-06 มาทำการลดความยาวปลอกจาก 63 มิลลิเมตรลงเป็น 51 มิลลิเมตร เพื่อนำไปใช้กับปืนในโครงการ T37 กลายเป็นโครงการ T44 แล้วในที่สุดก็ประจำการเป็นปืน M14 และ M15 ในปี ค.ศ. 1957 ส่วนกระสุน 7.62 มิลลิเมตรของปืน M14 ก็กลายเป็นกระสุน '''7.62×51 มม. นาโต้''' ซึ่งเป็นกระสุนมาตรฐานของปืนกลและปืนเล็กยาวหลายรุ่นในปัจจุบัน นอกจากนี้บริษัทวินเชสเตอร์ยังได้นำกระสุน 7.62 มม. นาโต้นี้ไปผลิตขายให้พลเรือนในชื่อว่า .308 Winchester อีกด้วย
แต่แล้วปืน M14 ก็มีอายุการใช้งานได้ไม่นาน เนื่องจากมีปัญหาเรื่องตัวปืนและกระสุนมีน้ำหนักมากทำให้ทหารพกพาไปได้น้อย อีกทั้งมีปัญหาเรื่องแรงสะท้อนถอยหลังสูง โดยเฉพาะเมื่อแบบอัตโนมัติจะไม่สามารถควบคุมปืนได้เลย ทำให้โครงการวิจัยปืนเล็กยาวที่ใช้กระสุนขนาดหน้าตัดเล็กแต่มีความเร็วสูงมีความชัดเจนขึ้นมาแทน ซึ่งโครงการนี้มีชื่อว่า Project SALVO ตั้งขึ้นมาแต่ ค.ศ. 1948 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างอาวุธประจำกายทหารราบที่ใช้กระสุนขนาด .22 ความเร็วสูง มีระยะหวังผล 300 เมตรขึ้นไป ภายหลังจึงได้มีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่าต้องมีน้ำหนักเบา เลือกยิงได้ทั้งแบบทีละนัดและยิงเป็นชุด และต้องยิงเจาะหมวกเหล็กได้ในระยะ 500 เมตร
ใน ค.ศ. 1957 บริษัท Armalite ซึ่งเป็นแผนกอาวุธปืนของบริษัทแฟร์ไชล์ด แอร์คราฟต์ คอร์ป (Fairchild Aircraft Corp.) ได้เข้าร่วมโครงการนี้ โดยยูจีน สโตนเนอร์ได้นำแบบปืน AR-10 ขนาด 7.62 มิลลิเมตรมาย่อส่วนเป็นปืน AR-15 เพื่อใช้กับกระสุน .222 เรมิงตัน ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทเรมิงตัน อาร์มส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับมอบหมายจากกองทัพสหรัฐฯให้ออกแบบและวิจัยกระสุนชนิดใหม่ที่จะนำมาใช้กับปืนเล็กยาวเอ็ม 16 โดยทางบริษัทได้นำกระสุน .222 เรมิงตัน ซึ่งเป็นกระสุนปืนเล็กยาวชนวนกลางที่นิยมใช้ในการล่าสัตว์ขนาดเล็กและขนาดกลางของทางบริษัทมาเป็นต้นแบบในการวิจัย ด้วยการยืดปลอกเพื่อเพิ่มปริมาณดินขับกระสุนและในขณะเดียวกันก็เป็นลดแรงดันในรังเพลิงโดยรวมลง โดยเรียกกระสุนใหม่นี้ว่า .222 เรมิงตัน แมกนั่ม ซึ่งเป็นกระสุนที่มีความเร็วต้นสูงขึ้นจากเดิม 3,095 ฟุต/วินาที เพิ่มเป็น 3,250 ฟุต/วินาที และมีแรงดันในรังเพลิงประมาณ 56,000 ปอนด์/ตารางนิ้ว (PSI) โดยทางบริษัทเรมิงตันได้เรียกชื่อกระสุนใหม่นี้ในทางพาณิชย์ว่า .223 เรมิงตัน ส่วนในทางทหารจะเรียกกระสุนนี้ว่า 5.56×45 มม. หรือ 5.56 มม.
ในระยะแรกเข้าประจำการ ทางกองทัพสหรัฐฯยังคงกำหนดให้ใช้คุณสมบัติเดิมของกระสุน 5.56 มม.กับปืนเอ็ม 16 ตามที่บริษัทเรมิงตันออกแบบ โดยมีรหัสที่ใช้ในกองทัพสหรัฐฯว่า M193 ต่อมาองค์กรแซมมี (SAAMI) ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้กำหนดมาตรฐานขึ้นมาใหม่ดังนี้ คือ
เมื่อกระสุน 5.56 มม. แบบ M193 เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่มประเทศองค์การ NATO ทางบริษัท เอฟ เอ็น จึงได้นำกระสุนแบบ M193 ไปปรับปรุงใหม่ โดยเปลี่ยนหัวกระสุนจากเดิมหนัก 55 เกรนเป็น 62 เกรน และเพิ่มปริมาณดินขับกระสุน ทำให้ได้กระสุนแบบใหม่ที่มีความเร็วต้นเพียง 3,025 ฟุต/วินาที แต่มีแรงดันในรังเพลิงมากถึง 62,366 ปอนด์/ตารางนิ้ว เมื่อทดสอบด้วยวิธี NATO EPVAT หรือ 55,114 ปอนด์/ตารางนิ้ว เมื่อทดสอบด้วยวิธี SCATP 5.56 ซึ่งมีขีปนวิถีที่ดีกว่ากระสุนแบบ M193 มาก และเข้าประจำการในกองทัพเบลเยียมโดยใช้รหัสว่า SS109 ต่อมาเมื่อกระสุนรุ่นดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การนาโต้ จึงได้มีการกำหนดรหัสให้ใหม่ว่า 5.56×45 mm. NATO
ส่วนกองทัพสหรัฐฯเองก็ได้นำกระสุน 5.56 นาโต้แบบ SS109 มาปรับปรุงเป็นกระสุนในรูปแบบของตนเอง โดยเพิ่มแกนเหล็กบริเวณหัวกระสุนเพื่อเพิ่มอำนาจทะลุทะลวงและแต้มสีเขียวบริเวณปลายหัวกระสุนเพื่อเป็นสัญลักษณ์ และกำหนดรหัสที่ใช้ในกองทัพว่า M855 รวมทั้งมีคำสั่งให้บริษัทโคลท์ทำการปรับปรุงปืน M16A1 เป็นปืน M16A2 เพื่อรองรับกระสุนแบบ M855 ในเวลาต่อมา
สายกระสุนขนาด 5.56 นาโต้ ซึ่งใช้กับปืนกล M249 Minimi สังเกตว่าจะใส่กระสุนธรรมดา M855 จำนวน 4 นัดต่อกระสุนส่องวิถี M856 จำนวน 1 นัดเมนูนำทาง
5.56×45_มม._นาโต ประวัติใกล้เคียง
5.56×45 มม. นาโต 5.5แหล่งที่มา
WikiPedia: 5.56×45_มม._นาโต