ฟาสซิสต์ออสเตรียชนะ
ชุทซ์ชตัฟเฟิล (เอ็สเอ็ส)
พรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมออสเตรียสนับสนุนโดย: สหพันธรัฐออสเตรียสนับสนุนโดย:กบฏเดือนกรกฎาคม เป็นการ
รัฐประหารล้มเหลวที่ดำเนินโดย
พรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมออสเตรียเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1934 แม้ในช่วงแรกพรรคนาซีออสเตรียจะสามารถยึดทำเนียบรัฐบาลและสังหารนายกรัฐมนตรี
เอ็งเงิลแบร์ท ด็อลฟูส ได้เป็นผลสำเร็จ แต่เนื่องจากขาดการสนับสนุนจากภายนอก ทำให้นาซีจำต้องยอมแพ้ การกบฏเริ่มแพร่กระจายไปทั่วประเทศในวันต่อมา แต่กองกำลังฝ่ายรัฐบาลก็สามารถปราบปรามได้อย่างรวดเร็ว จากผลลัพธ์ของเหตุการณ์ในครั้งนี้ นำไปสู่ความอ่อนแอลงอย่างมากของขบวนการชาติสังคมนิยมในออสเตรียแผนการแรกในการต่อต้านด็อลฟูสเกิดขึ้นในต้นฤดูร้อน ค.ศ. 1933 ด้วยเหตุที่นายกรัฐมนตรีออสเตรียส่ังระงับพรรคนาซี แต่แผนการก็ไม่บรรลุผล
[3] ขบวนการชาติสังคมนิยมออสเตรียถูกกดขี่ด้วยความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้น ขาดการสนับสนุนในการเข้าถึงอำนาจ ภายในขบวนการเกิดความแตกแยก และยังได้รับแรงกดดันจากกลุ่มหัวรุนแรงที่เรียกร้องให้เข้าร่วมการต่อต้านด็อลฟูส ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้เอง จึงนำไปสู่ความพยายามรัฐประหารเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1934
[4] ตามแผนการแล้ว การกบฏในครั้งนี้จะต้องเกิดจราจลครั้งใหญ่ทั่วประเทศ เนื่องจากนาซีออสเตรียได้รับการสนับสนุนจากทหารที่ต้องการล้มล้างรัฐบาลด็อลฟูส พร้อมทั้งยังได้ร้องขอการแทรกแซงจากทางเยอรมนีด้วย แต่ด้วยการวางแผนอย่างไร้ประสิทธิภาพ ในไม่ช้านักชาติสังคมนิยมหนึ่งร้อยห้าสิบสี่คนต้องโดดเดี่ยวภายในกรุงเวียนนา
[5]ในวันที่ 25 กรกฎาคม ผู้คิดการกบฏใช้โอกาสจากการเปลี่ยนเวรยามของทำเนียบนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้าสู่ตัวอาคารในเวลา 12 นาฬิกา 53 นาที
[6] ด็อลฟูสถูกยิงสองนัดขณะกำลังหลบหนีออกจากอาคาร
[7] และถึงแก่อสัญกรรมในอีกสองชั่วโมงต่อมาจากภาวะสูญเสียเลือด
[8] ในเวลาเดียวกัน กลุ่มกบฏเข้ายึดทำเนียบนายกรัฐมนตรีและสถานีวิทยุกระจายเสียง
[9] ซึ่งตามแผนการนั้น กลุ่มกบฏจะประกาศถึงการลาออกของด็อลฟูสและการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ที่นำโดย
อันโทน รินเทเลิน[9] เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการจราจลทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนรัฐบาลใหม่ แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
[10] ในทางกลับกัน กลุ่มที่มีหน้าที่จับกุมตัวประธานาธิบดี
วิลเฮ็ล์ม มิคลัส ได้ล่าถอยและล้มเหลวในปฏิบัติการนี้
[11]เหล่าผู้นำรัฐบาลและผู้บัญชาการทหารเข้าเจรจากันที่กระทรวงกลาโหม
[12][13] มิคลัสที่ก่อนหน้านี้ได้ปฏิเสธข้อตกลงกับพวกกบฏ จึงแต่งตั้ง
ควร์ท ชุชนิค เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว และออกคำสั่งให้เขาปราบปรามรัฐประหารอย่างเต็มกำลัง
[14] ท้ายที่สุดแล้ว ในเวลา 17 นาฬิกา 30 นาที ชุชนิคยื่นคำขาดต่อกลุ่มกบฏให้ส่งคืนทำเนียบนายกรัฐมนตรีภายในสิบห้านาที
[15] ถึงแม้ในความเป็นจริงนั้น การเจรจาระหว่างกลุ่มกบฏกับรัฐบาลจะกินเวลาไปถึงสองชั่วโมงก็ตาม
[15] กองกำลังฝ่ายรัฐบาลสามารถยึดคืนทำเนียบได้อย่างสงบในเวลาประมาณสองทุ่ม
[16]เอกอัครราชทูตเยอรมันยืนยันถึงความล้มเหลวของรัฐประหารเมื่อวันที่ 25 ซึ่งฮิตเลอร์สั่งปฏิเสธการมีส่วนร่วมของเยอรมนีในปฏิบัติการทุกกรณี
[17] ถึงอย่างนั้น รัฐบาลเยอรมันก็ประสบปัญหาที่ตามมาแม้จะปฏิเสธการมีส่วนร่วมไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยเพราะการแพร่กระจายของการกบฏโดยกลุ่มผู้สนับสนุนตามต่างจังหวัด ซึ่งรัฐบาลออสเตรียไม่สามารถจัดการจราจลได้อย่างสมบูรณ์จนถึงวันที่ 28
[18] ในวันที่ 26 ฮิตเลอร์ได้แต่งตั้งรองนายกรัฐมนตรี
ฟรันทซ์ ฟ็อน พาเพิน เป็นเอกอัครราชทูตประจำเวียนนาคนใหม่
[18] โดยหวังที่จะบรรลุเป้าหมายการผนวกประเทศโดยไม่หันไปใช้ความรุนแรงอีก
[19] ช่วงบ่ายของวันที่ 25 ดูเช
มุสโสลินี ซึ่งมีกำหนดการเยี่ยมเยือนด็อลฟูสในอีกสองสามวันหลังจากนั้น เมื่อได้รับการยืนยันถึงเหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของออสเตรีย เขาจึงสั่งให้กองทัพอิตาลีรุกกำลังไปยังชายแดนออสเตรีย-อิตาลีโดยทันที
[20] ภายหลังการรัฐประหารที่ล้มเหลวนี้ ออสเตรียยังคงรักษาเอกราชของประเทศได้เป็นเวลาอีกสี่ปี ก่อนที่จะถูก
ผนวกรวมกับเยอรมนีในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1938
[21]