ประวัติ ของ กอเทนเบิร์ก

แผนที่กอเทนเบิร์ก ค.ศ. 1888

ในช่วงต้นยุคใหม่ รูปทรงของเขตแดนประเทศสวีเดนทำให้กอเทนเบิร์กมีความสำคัญทางชัยภูมิ โดยเป็นประตูสู่ทะเลเหนือและมหาสมุทรแอตแลนติกของประเทศสวีเดนซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตก โดยเป็นพื้นที่แคบ ๆ ระหว่างเขตฮาลันด์ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของเดนมาร์กทางทิศใต้ และเขต บูฮุสแลน ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของนอร์เวย์ทางทิศเหนือ กอเทนเบิร์กก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1621 โดยกษัตริย์กุสตาฟที่ 2 อดอล์ฟ หลังความพยายามที่ล้มเหลวหลายครั้ง[12] สถานที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์แห่งแรกในเมืองกอเทนเบิร์ก ซึ่งต่อมาถูกทำลายโดยผู้บุกรุกชาวเดนมาร์กตอนนี้มีหินเป็นเครื่องหมาย อยู่ใกล้กับปลายฝั่งเหนือของสะพาน Älvsborg ในสวน Färjenäs โบสถ์ถูกสร้างใน ค.ศ. 1603 และถูกทำลายใน ค.ศ. 1611[13] เมืองได้รับอิทธิพลจากชาวดัตช์ ชาวเยอรมัน และชาวสกอต และนักวางแผนกับวิศวกรชาวดัตช์เป็นผู้ถูกรับจ้างให้สร้างเมือง ด้วยความที่พวกเขามีทักษะในการดูดน้ำออก และก่อสร้างบนพื้นที่ซึ่งเป็นแอ่งน้ำ เมืองถูกออกแบบคล้ายกับเมืองของชาวดัตช์ เช่น อัมสเตอร์ดัม, ปัตตาเวีย (จาการ์ตา), และ นิวอัมสเตอร์ดัม (แมนแฮตตัน)[12] รูปแบบของถนนและคลองของกอเทนเบิร์กมีความคล้ายกับของเมืองจาการ์ตาซึ่งถูกสร้างในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน[14] แต่เดิมชาวดัตช์เป็นผู้กุมอำนาจทางการเมืองกระทั่ง ค.ศ. 1652 เมื่อนักการเมืองชาวดัตช์คนสุดท้ายในสภาเมืองได้เสียชีวิตลง ชาวสวีเดนจึงได้รับอำนาจทางการเมืองของกอเทนเบิร์ก[15] ในช่วงที่เมืองถูกปกครองโดยชาวดัตช์ กฎหมายดัตช์ถูกนำมาใช้และภาษาดัตช์ถูกใช้เป็นภาษาทางการของเมือง กำแพงเมืองถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ใน ค.ศ. 1807 ได้มีคำสั่งให้ทำลายกำแพงเมืองส่วนใหญ่ลง งานทำลายเริ่มเมื่อ ค.ศ. 1810 ดำเนินการโดยทหาร 150 นาย[16]

นอกจากชาวดัตช์ เมืองยังได้รับอิทธิพลจากชาวสกอตซึ่งเข้ามาตั้งรกรากในกอเทนเบิร์ก โดยหลายคนได้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียง[17] วิลเลียม ชามเมอร์ส์ ผู้เป็นบุตรชายของผู้อพยพชาวสกอต ได้บริจาคทรัพย์สินของเขาเพื่อสร้างมหาวิทยาลัยซึ่งตอนนี้ใช้ชื่อว่ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีชามเมอร์ส์[18] ใน ค.ศ. 1841 อเล็กซานเดอร์ เคลเลอร์ ได้ก่อตั้ง บริษัทต่อเรือ Götaverken ซึ่งดำเนินกิจการจนถึง ค.ศ. 1989[19] ลูกชายของเขาได้บริจาคสวนเคลเลอร์ให้เมืองในค.ศ. 1906[20]

ตราอาร์มกอเทนเบิร์กมีฐานมาจากเสือของตราแผ่นดินของสวีเดน โดยถือโล่ซึ่งมีสัญลักษณ์ประจำชาติ มงกุฎ 3 อัน เพื่อปกป้องเมืองจากศัตรู[21]

ภายใต้สนธิสัญญาโรสกิลด์ (ค.ศ. 1658) เดนมาร์ก–นอร์เวย์ ได้สละอาณาเขตฮาลันด์ทางใต้ซึ่งในตอนนั้นเป็นของเดนมาร์ก รวมถึงอาณาเขตปูฮุสแลนของนอร์เวย์ซึ่งอยู่ทางเหนือ ให้โอกาสกอเทนเบิร์กได้เติบโตเป็นเมืองท่าและศูนย์การค้าที่สำคัญบนชายฝั่งตะวันตก ด้วยความที่เป็นเมืองบนชายฝั่งตะวันตกร่วมกับมัสตรันด์ (Marstrand) ที่มีสิทธิ์ค้าขายกับพ่อค้าจากประเทศอื่น[15]

ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 การตกปลาเป็นอุตสาหกรรมซึ่งมีความสำคัญมากที่สุด อย่างไรก็ตามใน ค.ศ. 1731 Swedish East India Company ถูกก่อตั้งขึ้น เป็นผลให้เมืองเฟื่องฟูจากการค้าขายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการค้าขายกับประเทศจีนซึ่งให้กำไรสูง[22]

ท่าเรือของเมืองได้พัฒนาเป็นท่าเรือหลักของประเทศสวีเดนในการค้าขายกับฝั่งตะวันตก และเมื่ออัตราการอพยพของชาวสวีเดนไปยังสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น กอเทนเบิร์กกลายเป็นจุดหลักที่คนเหล่านี้จะออกเดินทาง จนทำให้มีเมืองในรัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา ที่ชื่อว่ากอเทนเบิร์ก เช่นกัน[23]

กอเทนเบิร์กพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรมสมัยใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 โดยประชากรเมืองได้เพิ่มขึ้นสิบเท่าภายในหนึ่งศตวรรษ จาก 13,000 คนใน ค.ศ. 1800 เป็น 130,000 คนใน ค.ศ. 1900[24][25][26] ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 บริษัทหลักที่ถูกพัฒนาขึ้นได้แก่ SKF (ค.ศ. 1907)[27] และ วอลโว่ (ค.ศ. 1927)[28]