พัฒนาการของกาพย์ยานี ของ กาพย์ยานี

กาพย์ยานีในยุคแรก ๆ บังคับเฉพาะสัมผัสระหว่างบาท และสัมผัสระหว่างบทเท่านั้น สัมผัสระหว่างวรรคไม่บังคับ[1] ดังตัวอย่างจากอนิรุทธ์คำฉันท์ และสมุทรโฆษคำฉันท์

๏ โดยทิศอุดรมีพระนครอันควรชม
สมญาชื่อเสียงพรหม-บุรีบุราณกาล
๏ อาจผจญบุรีอิน-ทรอันเทพยฤมาน
มหามเหาฬารจรรโลงธารษตรี
๏ ปราการกำแพงรัตน-อันรอบบุรีศรี
ทัดพายุพิถีคือกำแพง ณ จักรพาฬ
๏ โขลนทวารพิศาลสรรพประดับโครณทุกทวาร
หอห้างสรล้างกาญ-จนกุรุงซริน
สมุทรโฆษคำฉันท์
๏ บัดนั้นสมเด็จหลานกฤษณเทพจักรี
รำลึกพนาลีสุขรมยกรีฑา
๏ เสด็จไปบังคมพระอัยกาธิเบศร์ลา
จักไปพนาทวาพนมพฤกษศีรขร
๏ เถื่อนถ้ำพนาลีคชสีหองค์อร
กวางทรายรมั่งมรสัตวสมสกอหลาย
๏ มสระสโรชากรบุษปเรียงราย
ขจคนธอบอายภุมรีภรมัว
อนิรุทธ์คำฉันท์

สมัยอยุธยายุคกลางและยุคปลายได้เพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคแรกกับวรรคที่ 2 แล้ว ต่อมา เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร กวีผู้ชำนาญเชิงกาพย์ ทรงเพิ่มสัมผัสสระในคำที่ 2 - 3 วรรคแรก และคำที่ 3 - 4 ในวรรคหลัง อย่างเป็นระบบ ทำให้จังหวะอ่านรับกันเพิ่มความไพเราะมากขึ้น[1] และส่งอิทธิพลมาถึงกวีสมัยรัตนโกสินทร์ ตลอดถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว[2] ดังตัวอย่าง

๏ ปลากรายว่ายเคียงคู่เคล้ากันอยู่ดูงามดี
แต่นางห่างเหินพี่เห็นปลาเคล้าเศร้าใจจร
๏ หางไก่ว่ายแหวกว่ายหางไก่คล้ายไม่มีหงอน
คิดอนงค์องค์เอวอรผมประบ่าอ่าเอี่ยมไร
๏ ปลาสร้อยลอยล่องชลว่ายเวียนวนปนกันไป
เหมือนสร้อยทรงทรามวัยไม่เห็นเจ้าเศร้าบ่วาย
๏ เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อเนื้อน้องฤๅอ่อนทั้งกาย
ใครต้องข้องจิตชายไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง
กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร

สุนทรภู่ ก็เป็นอีกตำนานหนึ่งที่ประยุกต์กาพย์ยานีของกรุงศรีอยุธยา โดยให้ความสำคัญกับสัมผัสเป็นหลัก มีการเพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคที่ 3 กับวรรคที่ 4 รวมทั้งให้ความสำคัญกับน้ำหนักคำและน้ำเสียงด้วย[2] ดังตัวอย่าง

๏ ขึ้นกกตกทุกข์ยากแสนลำบากจากเวียงไชย
มันเผือกเลือกเผาไฟกินผลไม้ได้เป็นแรง
๏ รอนรอนอ่อนอัสดงพระสุริยงเย็นยอแสง
ช่วงดังน้ำครั่งแดงแฝงเมฆเขาเงาเมรุธร
กาพย์พระไชยสุริยา

ขณะที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงกินกาพย์ยานี โดยละทิ้งสัมผัสไปมากแต่มาเล่นน้ำหนักของคำและทรงใช้สัมผัสอักษรแทนสัมผัสระหลายครั้ง และน่าจะเป็นตัวตั้งสำหรับกาพย์ยุคหลังๆ ครั้งที่นายผี (อัศนี พลจันทร) สร้างสรรค์กาพย์ยานีรูปใหม่[2] ดังตัวอย่าง

๏ ดาวเดือนก็เลื่อนลับแสงทองระยับบพโยมหน
จวบจวนพระสุริยนจะเยี่ยมยอดยุคันธร
๏ สมเด็จพระหริวงศ์ภุชพงศ์ทิพากร
เสด็จลงสรงสาครกับพระลักษณ์อนุชา
บทพากย์รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ในยุคกึ่งพุทธกาล นายผี หรือ อัศนี พลจันทร ได้สั่นสะเทือนวงการกาพย์ด้วยลีลาเฉพาะตัว โดยทิ้งสัมผัสในไปมาก หันมาใช้สัมผัสอักษรแทน เน้นคำโดดอันให้จังหวะสละสลวยจนคล้ายอินทรวิเชียรฉันท์กลายๆ[2] ดังตัวอย่าง

๏ ในฟ้าบ่อมีน้ำในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกรายก็รีบซาบบ่อรอซึม
๏ แดดเปรี้ยงปานหัวแตกแผ่นดินแยกอยู่ทึมทึม
แผ่นอกที่ครางครึมขยับแยกอยู่ตาปี
อีศาน

ขณะที่กวีในยุคปัจจุบันต่างก็แสวงหาลีลาเฉพาะตัว อย่างเช่น

๏ การเกิดย่อมเจ็บปวดต้องร้าวรวดและทรมา
ในสายฝนมีสายฟ้าในผาทึบมีถ้ำทอง
๏ มาเถิดมาทุกข์ยากมาบั่นบากกับเพื่อนพ้อง
อย่าหวังเลยรังรองจะเรืองไรในชีพนี้
หนทางแห่งหอยทาก ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
๏ ด้วยธรรมนั้นเทียมเท่าแต่ใครเล่าที่ครอบงำ
เอาเปรียบและเหยียบย่ำมวลชีวิตจนผิดไป
๏ ในน้ำทุกหยดน้ำหรือใช่น้ำเฉพาะใคร
ลมแดดหรือดินใดล้วนสมบัติอันเป็นกลาง
เพลงไทยของคนทุกข์ ของ ไพวรินทร์ ขาวงาม
๏ พฤกษ์ไพรไสวพริ้ววะไหวหวิวกับวันวาร
เสียงขับส่งศัพท์ขานคือสัตว์ส่ำซึ่งร่ำเสียง
๏ เริงเร้าเหนือเงาร่มสำราญรมย์แลรายเรียง
ร้องขานผสานเคียงผสมคู่สมสู่คา
วรรณวิเคราะห์ - คมทวน คันธนู