การปฏิวัติเงียบสงบ (
เยอรมัน: Friedliche Revolution) เป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่นำไปสู่การเปิดชายแดนของเยอรมนีตะวันออกและตะวันตก จุดสิ้นสุดของ
พรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี(SED)ใน
สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี(เยอรมนีตะวันออก) และการเปลี่ยนแปลงมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งนำไปสู่
การรวมประเทศของเยอรมนีในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1990 สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มาจากการริเริ่มและการเดินขบวนที่ไม่ใช้ความรุนแรง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ถูกเรียกในภาษาเยอรมันว่า
Die Wende (เสียงอ่านภาษาเยอรมัน: [diː ˈvɛndə], "จุดเปลี่ยน")เหตุการณ์เหล่านี้เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการตัดสินใจของผู้นำโซเวียต
มีฮาอิล กอร์บาชอฟ ที่จะละทิ้ง
อำนาจโซเวียตในยุโรปตะวันออก รวมทั้ง
ขบวนการปฏิรูปที่แผ่ขยายไปทั่วประเทศกลุ่มตะวันออก นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของสหภาพโซเวียต การขาดความาสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี รวมทั้งหนี้สินของชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เกิดความไม่มั่นคงในสถานะ
รัฐพรรคการเมืองเดียวของพรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนีการขับเคลื่อนกระบวนการปฏิรูปในสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี ได้รวมถึงกลุ่มปัญญาชนและคริสจักรชนที่อยู่ในการคัดค้านใต้ดินเป็นเวลาหลายปี ผู้คนที่พยายามหลบหนีออกจากประเทศ และผู้ประท้วงอย่างสันติที่ไม่ยอมทนต่อการคุกคามจากความรุนแรงและการกดขี่ข่มเหงเพราะการไม่เป็นมิตรกับการตอบสนองต่อการปฏิรูปการดำเนินภายใน"ดินแดนภราดรภาพสังคมนิยม" ความเป็นผู้นำของพรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนั้นโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน
กลุ่มประเทศตะวันออก เมื่อได้รับอนุญาตให้เปิดชายแดนที่
กำแพงเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 ผ่านการเปลี่ยนแปลงความเป็นผู้นำและความเต็มใจที่จะเจรจา พรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนีพยายามที่จะเอาชนะความคิดริเริ่มทางการเมือง แต่การควบคุมสถานการณ์ได้ทวีคูณมากขึ้นกับรัฐบาลเยอรมันตะวันตกภายใต้การนำโดย
เฮ็ลมูท โคลตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1989 รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีของนายกรัฐมนตรี
ฮันส์ โมโดร ได้มีอิทธิพลจากการประชุมบนกลางโต๊ะกลม ซึ่งนำไปสู่การดำเนินทำการยุบหน่วย
สตาซีและเตรียมการเลือกตั้งแบบเสรี ภายหลังชนะการเลือกตั้งเพื่อพรรคร่วมกันที่สนับสนุนการรวมประเทศเยอรมนี เส้นทางการเมืองภายในสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีได้กระจ่างแจ้งแล้ว