การฟื้นฟูภาษาฮีบรู เกิดขึ้นใน
ยุโรปและ
ปาเลสไตน์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ซึ่งภาษาฮีบรูถูกเปลี่ยนสถานะจาก
ภาษาศักดิ์สิทธิ์ของ
ศาสนายูดาห์ไปเป็นภาษาที่ใช้พูดใช้เขียนเป็นชีวิตประจำวันใน
อิสราเอล การฟื้นฟูนี้เริ่มต้นเมื่อชาวยิวจากภูมิภาคอันหลากหลาย ย้ายและมาตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคปาเลสไตน์ข้าง ๆ ชาวยิวด้วยกันในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 เมื่อชาวยิวดั้งเดิมและชาวยิวที่ย้ายเข้ามาใหม่เริ่มใช้ภาษาฮีบรูเป็น
ภาษากลาง,
[1][2] ซึ่งเป็นภาษาประวัติศาสตร์ร่วมของชาวยิวทั้งหมดในขณะเดียวกันก็ได้มีการพัฒนาคู่ขนานขึ้นในยุโรปซึ่งเปลี่ยนภาษาฮีบรูจากศักดิ์สิทธิ์เป็น
ภาษาวรรณกรรม[3] ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาแผนการศึกษาชาตินิยม
[4] ภาษาฮีบรูใหม่นี้เป็นหนึ่งในสามภาษาราชการของ
ปาเลสไตน์ในอาณัติ และเป็นหนึ่งในสองภาษาทางการของอิสราเอลร่วมกับ
ภาษาอาหรับหลังจากประกาศอิสรภาพของอิสราเอลในปี 1948 และในเดือนกรกฎาคม 2018 อิสราเอลได้ผ่านกฎหมายใหม่ซึ่งกำหนดให้ภาษาฮีบรูเป็นภาษาราชการเพียงหนึ่งเดียวของประเทศ และเปลี่ยนภาษาอาหรับเป็น "สถานะพิเศษ"
[5]นอกจากกระบวกการทางภาษาแล้ว การฟื้นฟูนี้ก็ถูกใช้ในการทำให้ทันสมัยของชาวยิวและการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำให้ผู้คนจำนวนมากเปลี่ยนชื่อของตนเอง
[6] และกลายเป็นหหลักการของอุดมการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานและการเปลี่ยนชื่อแผ่นดิน
ขบวนการไซออนิสต์[7] และนโยบายของอิสราเอลกระบวนการฟื้นฟูของภาษาฮีบรูเป็นภาษาในชีวิตประจำวันถือเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อย่างมาก ไม่เคยมี
ภาษาธรรมชาติใดใดที่มีผู้พูดเป็นหลักล้านหลังจากไม่หลงเหลือผู้พูดเลย และไม่เคยมีประวัติศาสตร์ของภาษาศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันการฟื้นฟูภาษาฮีบรูก็ยังเป็นมีการเปลี่ยนแปลงของภาษาอีกด้วย ถึงแม้ว่าผู้นำกระบวนการนี้แรก ๆ จะเน้นว่าเป็นการดำเนินต่อ "หลังจากชีวิตของชาวฮีบรูสิ้นสุดลง" สิ่งที่เกิดขึ้นคือภาษาที่มีพื้นฐานการยอมรับที่กว้างขวางขึ้น เช่น คุณลักษณะต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากภาษาฮีบรูของทุกยุคสมัย เช่นเดียวกับภาษาที่ไม่ใช่ฮีบรูที่ใช้โดยชุมชนชาวยิวทั่วยุโรป แอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก
ภาษายิดดิช