การยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เกิดขึ้น
โดยพฤตินัยในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1806 เมื่อ
จักรพรรดิฟรันทซ์ที่ 2 จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์องค์สุดท้ายแห่ง
ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค-
ลอแรนสละราชสมบัติและปลดปล่อยรัฐทั้งหมดจากคำสัตย์และข้อผูกพันกับจักรวรรดิ นับตั้งแต่
สมัยกลาง จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้รับการยอมรับจาก
ยุโรปตะวันตกว่าเป็นจักรวรรดิที่สืบทอดจาก
จักรวรรดิโรมันอย่างชอบธรรม เนื่องจากปกครองโดยประมุขที่
พระสันตะปาปาประกาศให้เป็น
จักรพรรดิโรมัน[1] จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์สืบทอดแนวคิดที่จักรพรรดิโรมันมีอำนาจเหนือคริสตชนทั้งภายในและภายนอกจักรวรรดิ
[2] ซึ่งต่อมาแนวคิดนี้ถูกคุกคามเมื่อมีการจัดตั้ง
รัฐเอกราชสมัยใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17
[2]จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถูกมองว่าเป็นราชาธิปไตยที่ "ผิดปกติ" และ "เสื่อมโทรม" ทั้งยังถูกมองว่ามีระบอบการปกครองที่ "แปลกประหลาด" จักรวรรดิขาดทั้งกองทัพประจำการและกองคลังกลาง นอกจากนี้จักรพรรดิที่มาจากการเลือกตั้งไม่สามารถใช้อำนาจส่วนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
[3] ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิเข้าร่วม
สงครามปฏิวัติฝรั่งเศสและ
สงครามนโปเลียน ซึ่งแม้ช่วงแรกจักรวรรดิจะป้องกันตนเองได้ดี แต่ภายหลังการทำสงครามกับ
นโปเลียนกลับนำไปสู่จุดจบของจักรวรรดิ
[4]ปี ค.ศ. 1804 นโปเลียนสถาปนาตนเองเป็น
จักรพรรดิแห่งชาวฝรั่งเศส[5] จักรพรรดิฟรันทซ์ที่ 2 จึงตอบโต้ด้วยการสถาปนาตนเองเป็น
จักรพรรดิออสเตรีย โดยยังดำรงพระอิสริยยศเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
[6] ทั้งนี้เพื่อแสดงความเท่าเทียมกันระหว่างฝรั่งเศสกับออสเตรีย แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์สูงกว่าตำแหน่งทั้งสอง
[6] อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ของออสเตรียใน
ยุทธการที่เอาสเทอร์ลิทซ์และการแยกตัวของรัฐในปกครองจำนวนมากเพื่อตั้งเป็น
รัฐบริวารของฝรั่งเศสนาม
สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ ส่งผลให้จักรวรรดิล่มสลายลงในที่สุด
[7] อนึ่ง การสละราชสมบัติร่วมกับการยุบสถาบันการเมืองดังกล่าวอาจเป็นการขจัดความเป็นไปได้ที่จักรพรรดินโปเลียนจะสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะลดฐานะของจักรพรรดิฟรันทซ์ที่ 2 ลงเป็นบริวารของจักรพรรดินโปเลียน
[7]ปฏิกิริยาต่อการยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์มีตั้งแต่ไม่รู้สึกใด ๆ จนถึงสิ้นหวัง
[8] ประชาชนในกรุง
เวียนนา เมืองหลวงของ
จักรวรรดิฮาพส์บวร์คแสดงความหวาดกลัวต่อการสูญเสียจักรวรรดิ
[9] บางส่วนตั้งคำถามถึงความชอบธรรมตามกฎหมายของประกาศดังกล่าว โดยส่วนใหญ่เห็นว่าการสละราชสมบัตินั้นถูกกฎหมาย แต่การยุบจักรวรรดิและปลดปล่อยรัฐทั้งหมดนั้นอยู่นอกเหนืออำนาจของจักรพรรดิ
[10] ทำให้เจ้านครรัฐและประชาชนจำนวนมากไม่ยอมรับประกาศนี้
[11] ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนบางส่วนยังเชื่อว่าการยุบจักรวรรดิเป็นข่าวลวงโดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
[8] ในเยอรมนี การยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นหายนะครั้งใหญ่เหมือนการเสียกรุงทรอย
[12] นอกจากนี้บางส่วนยังเชื่อว่าเป็นวันสิ้นโลก เนื่องจากมีตำนานสมัยกลางกล่าวถึงจักรพรรดิโรมันองค์สุดท้ายที่จะปรากฏตัวในวันโลกาวินาศ เพื่อสร้างโลกใหม่
[13]