ประวัติการสัก ของ การสัก

เริ่มต้นจากที่กรีก การสักเป็นการทำสัญลักษณ์เฉพาะใบหน้าของทาส และ อาชญากร ต่อมาการสักเริ่มแพร่หลายในทวีปยุโรปต่อมาประมาณ ค.ศ. 787 การสักบนใบหน้าถือเป็นการลบหลู่ต่อพระผู้เป็นเจ้า

ในประเทศไทย การสัก หรือ สักเลขนั้นเป็นการทำเครื่องหมายที่ข้อมือ เพื่อแสดงการขึ้นทะเบียนเป็นไพร่หลวงที่มีสังกัดกรมกอง แต่ถูกยกเลิกไปในรัชสมัยรัชกาลที่ 4ส่วนที่หน้าผาก หรือการสักท้องแขนใช้กับผู้ต้องโทษจำคุก แต่ยกเลิกในปี พ.ศ. 2475รวมทั้งการสักยันต์เป็นเหมือนเครื่องรางของขลังตามความเชื่อ เป็นที่นิยมในหมู่คนสองกลุ่ม คือ กลุ่มอันธพาล อาชญากร และพระภิกษุที่คิดจะปกป้องตนเองและผู้อื่นจากสิ่งชั่วร้ายโดยการสักยันต์[1]

ในญี่ปุ่น การสักเรียกว่า Irezumi ซึ่งมีความหมายว่าการเติมหมึก คาดว่าเริ่มปรากฏในประมาณศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 8 การสักจะประทับตาคนกลุ่มต่างๆ เพื่อแบ่งแยกเช่น เพชฌฆาต สัปเหร่อ อาชญากรจนกระทั่งเริ่มมีการสักแบบ Horibari ที่มักจะสักลวดลายต่างๆทั่วร่างกาย และเริ่มแพร่หลายในปี ค.ศ. 1750 โดยนิยมมากในหมู่ Eta ซึ่งเป็นกลุ่มคมฐานะชั้นต่ำที่สุดลวดลายต่างๆมักเป็นจิตรกรรมที่มีชื่อเสียง ตลอดจนเทพเจ้า ตามความเชื่อทางศาสนา และนิทานพื้นบ้าน

ใกล้เคียง

การสัก การสักยันต์ การสังหารหมู่ที่หนานจิง การสังหารหมู่ที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. 2565 การดักจับและการจัดเก็บคาร์บอน การรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ การสะกดจิต การรักษามะเร็งแบบทางเลือก การสังหารหมู่พอร์ตอาร์เทอร์ (ออสเตรเลีย) การสังเคราะห์ด้วยแสง