ฟร็องซัว มีแตร็องพรรคสังคมนิยม
ฌัก ชีรักชุมนุมเพื่อสาธารณรัฐบทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ:
ระบบการปกครองของ
ประเทศฝรั่งเศสการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส พ.ศ. 2538 เกิดขึ้นเมื่อวันที่
23 เมษายน พ.ศ. 2538 และ
7 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 เพื่อที่จะเลือกตั้งเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 5 แห่ง
สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 5ประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้นคือ
ฟรองซัวส์ มิแตรรองด์ ไม่ปรารถนาที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 3 เพราะเขาอายุ 78 ปีแล้ว ทั้งยังเป็นมะเร็ง และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศสครั้งที่ผ่านมา พรรคของเขาก็ได้ประสบความพ่ายแพ้อีกด้วย ตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2536 เขาได้ทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีอนุรักษนิยมและคณะรัฐมนตรีของ
เอดูอาร์ด บัลลาดูร์ ซึ่งเป็นสมาชิก
พรรคอาร์พีอาร์ บัลลาดูร์เองยังเคยได้สัญญากับ
ฌากส์ ชีรัก หัวหน้า
พรรคแอร์เปแอร์ (RPR) ว่าจะไม่ลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่จากการสำรวจเขาทำงานได้อย่างดีและยังมีนักการเมืองอนุรักษนิยมอีกหลายคนสนับสนุนบัลลาดูร์ ทำให้เขาตัดสินใจลงสมัครแข่งขัน ซึ่งทำให้มีการแข่งขันกันเองในขั้ว
อนุรักษนิยมระหว่าง
ฌากส์ ชีรักกับ
เอดูอาร์ด บัลลาดูร์ในขณะที่ฝ่ายซ้ายนั้นได้อ่อนแอลงหลังจากเรื่องอื้อฉาวต่างๆ และความผิดหวังในการบริหารของ
ฟรองซัวส์ มิแตรรองด์ ในเดือน
มิถุนายน พ.ศ. 2537 อดีตนายกรัฐมนตรีมิเชล โรการ์ด ได้ออกจากการเป็นหัวหน้า
พรรคสังคมนิยม หลังจากความล่มเหลวของพรรคในการเลือกตั้งรัฐสภาสหภาพยุโรป หลังจากนั้น
ฌาคส์ เดอลอร์ส์ ตัดสินใจที่จะไม่เป็นผู้สมัครเข้าเป็นหัวหน้าพรรคเนื่องจากเขาไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าพรรคคนใหม่
อองรี อองมานูล์ลี ซึ่งทำให้ตำแหน่งหัวหน้าพรรคนั้นเป็นที่เปิดกว้าง ไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครจะดำรงตำแหน่งเช่น
ฌาก ลาง,
ปีแอร์ โฌกซ์,
โลรองต์ ฟาบิอูส์,
เซโกแลน รัวยาล และ
โรแบร์ต บาแดงแตร์ อดีต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลีโอเนล โฌส์แปงได้ถูกสมาชิกพรรคเลือกให้ลงสมัครเป็นหัวหน้าพรรคประจันหน้ากับ
อองรี อองมานูล์ลี ซึ่งเขาก็ได้สัญญาว่าจะรื้อฟื้นความไว้เนื่อเชื่อใจและชื่อเสียงของพรรคให้กลับคืนมาแต่โอกาสที่เขาชนะนั้นแคบลงทุกทีพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส (PCF) พยายามที่จะหยุดความเสื่อมถอยของพรรคในการเลือกตั้ง โดยที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ โรแบร์ต อู รณรงค์หาเสียงต่อต้าน "เงินของกษัตริย์" และต้องการเสนอคอมมิวนิสต์ฟื้นฟู เขาต้องเผชิญหน้ากับ อาร์เล็ตต์ ลากุยแลร์ ผู้สมัครซ้ายจัด ทร็อตสกีนิยม ซึ่งลงเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ทั้งสองผู้ลงสมัครมีผลงานทีผ่านมาดีกว่าผลงานของพรรคตนเองในปี
พ.ศ. 2531 แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะไม่สามารถเข้าไปในรอบต่อไปได้ และในการเลือกโดมินิก วัวเนต์ พรรคเขียว (Les Verts) เลือกที่จะรวมกันเป็นกลุ่มก้อนกับพวกฝ่ายซ้ายทางด้านฝ่ายขวาจัด
ฌอง-มารี เลอ เปิง ต้องการที่จะได้ผลการเลือกตั้งที่เป็นที่ตกใจอีกครั้งหนึ่ง เหมือนกับการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้านี้ คู่ต่อสู้ฝ่ายขวาจัดคนสำคัญของเขาคือ ฟิลิป เดอ วิลลีเยร์ ผู้สมัคร หนึ่งในสมาชิกสภายุโรปขวาในเดือนมกราคม
พ.ศ. 2538 เมื่อได้ประกาศการลงสมัครรับเลือกตั้ง
เอดูอาร์ด บัลลาดูร์ เป็นผู้ที่มีหวังที่จะเป็นผู้ชนะมากที่สุด และตามการสำรวจของสถาบัน SOFRES เขามีข้อได้เปรียบ 14 คะแนนมากกว่า
ชีรัก (32% ต่อ 18% ในรอบแรก) เขาได้เอาการถูกประเมินในทางบวกของเขาในฐานะนายกรัฐมนตรีมาเป็นผลประโยชน์แก่ตัวเขาเองโดยการสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรี
ชีรักได้ประณาม
เอดูอาร์ด บัลลาดูร์ ถึงความแตกร้าวทางสังคมและวิจารณ์เรื่องที่เขาถูกครอบงำในความคิด ชีรักได้อ้างว่า "เงินไม่ได้เป็นศัตรูของการจ้างงาน" แท้จริงแล้ว การตกงานเป็นหลักสำคัญในการแข่งขัน ตั้งแต่ต้น
เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ชีรักก็ได้รับคะแนนบางส่วนจากบัลลาดูร์เข้ามามากขึ้นจากการสำรวจการหาเสียงของแต่ละคนนั้นได้ใช้สโลแกน เช่นในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในรอบแรกนั้น
ลีโอเนล โฌส์แปงได้คะแนนเสียงมาเป็นที่หนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นการเลือกตั้งที่รื้อฟื้นความนิยมของพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศสขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คู่แข่งฝ่ายขวาของเขาที่จะแข่งขันกันในการเลือกตั้งรอบที่สองนั้นคือ
ฌากส์ ชีรัก ไม่ใช่
เอดูอาร์ด บัลลาดูร์ บัลลาดูร์เองได้ยอมรับในการพ่ายแพ้ ส่วน
ฌอง-มารี เลอ เปิงได้คะแนนเสียงพอๆ กันกับการเลือกตั้งครั้งที่แล้วในช่วงการโต้วาทีซึ่งถ่ายทอดทางโทรทัศน์ระหว่างสองผู้แข่งขันรอบสุดท้าย พวกเขาได้ทะเลาะกันในเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี
โฌส์แปงต้องการที่จะลดวาระ 7 ปีลงเหลือ 5 ปี ส่วนทาง
ชีรักต้องการ 7 ปี ซึ่ง
โฌส์แปงก็ได้กล่าวว่า
"ทางเลือกคือ 5 ปีกับข้าพเจ้าหรือ 7 ปีกับฌากส์ ชีรัก" อย่างไรก็ตาม วาระการดำรงตำแหน่ง
ประธานาธิบดีฝรั่งเศสนั้นก็ได้ลดลงเหลือ 5 ปีหลังจาก
การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส พ.ศ. 2545ฌากส์ ชีรักได้รับเลือกตั้งเป็น
ประธานาธิบดีคนใหม่ของ
สาธารณรัฐฝรั่งเศส เอดูอาร์ด บัลลาดูร์ได้ลาออกจากการเป็น
นายกรัฐมนตรีและ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ
อแลง ฌูป์เปได้ดำรงตำแหน่งเป็น
นายกรัฐมนตรีคนต่อมา