จอมพลถนอม กิตติขจรจอมพลถนอม กิตติขจรพรรคสหประชาไทย
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2512 นับเป็น
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประเทศไทย เป็นครั้งที่ 11 มีขึ้นในวันที่
10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512สืบเนื่องมาจากการที่
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้กระทำ
การรัฐประหารขึ้นในวันที่
20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ได้ประกาศให้
รัฐธรรมนูญ,
รัฐสภาและ
พรรคการเมืองต่าง ๆ เป็นอันสิ้นสุดลง และได้ตั้ง
สภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเมื่อวันที่
3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 โดยมี นาย
ทวี บุณยเกตุ เป็นประธาน สภาร่างรัฐธรรมนูญใช้เวลาในการร่างรัฐธรรมนูญจนแล้วเสร็จและนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 ในยุคที่มี จอมพล
ถนอม กิตติขจร เป็น
นายกรัฐมนตรี และได้มีรัฐพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 นอกจากนั้น ยังได้มีการประกาศใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 และพระราชบัญญัติเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2511 จากนั้นรัฐบาลได้ประกาศกำหนดวันจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ซึ่งเป็นไปตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 180 ซึ่งกำหนดให้ต้องมีการเลือกตั้งขึ้นภายใน 240 วันจากนั้นได้มีการจดทะเบียนก่อตั้งพรรคการเมืองต่าง ๆ ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก โดยมีพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ
พรรคสหประชาไทย และ
พรรคประชาธิปัตย์ การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการเลือกตั้งที่มีผู้คนตื่นตัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศไทยว่างเว้นการเลือกตั้งมาอย่างยาวนานถึง 11 ปีเต็มด้วยกันซึ่งมีผู้สมัครลงเลือกตั้งเป็น
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทั้งหมด 1,522 คน จากทั้งหมด 12 พรรคการเมือง และไม่สังกัดพรรคการเมืองใด โดยที่มีจำนวน ส.ส.ได้ทั้งหมด 219 คนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 1512 เป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขตเรียงเบอร์ โดยถือเอาหนึ่งจังหวัดเป็นหนึ่งเขตเลือกตั้ง และเป็นการเลือกตั้งโดยตรง จำนวนผู้แทนราษฎรในแต่ละเขตคำนวณโดยถือเอาจำนวนประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทน 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้แทนทั้งหมด 219 คน มีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหมด 14,820,180 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 7,285,832 คน คิดเป็นร้อยละ 49.10 จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดคือ จังหวัดระนอง คิดเป็นร้อยละ 73.95 ของจำนวนผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหมด และจังหวัดพระนครมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 36.66ผลการเลือกตั้ง พรรคสหประชาไทย ที่มีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นหัวหน้าพรรค และพลอากาศเอก
ทวี จุลละทรัพย์ เป็นเลขาธิการพรรค ได้รับเลือกมาเป็นที่หนึ่ง โดยได้ ส.ส.ทั้งหมด 76 คน ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ที่มี
หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค ได้ ส.ส.ทั้งหมด 57 คน พรรคแนวประชาธิปไตย 7 คน พรรคแนวร่วมเศรษฐกร 4 คน พรรคประชาชน 2 คน พรรคสัมมาชีพ-ช่วยชาวนา และพรรคเสรีประชาธิปไตย พรรคละ 1 คน ไม่สังกัดพรรค 71 คน
[1] แต่การเลือกตั้งในเขต
กรุงเทพมหานคร คือ
จังหวัดพระนครและ
จังหวัดธนบุรี พรรคประชาธิปัตย์สามารถได้ ส.ส.ทั้งหมด เป็นจำนวน 21 คน
[2] ทำให้เป็นแกนหลักในการเป็นพรรค
ฝ่ายค้าน ขณะที่ผู้สมัครจากพรรคอื่นและผู้สมัครอิสระรวมกันเป็น ส.ส.ทั้งหมด 90 คนในวันที่ 7 มีนาคม ปีเดียวกัน ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ จอมพลถนอม กิตติขจร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอนึ่ง การเลือกตั้งในครั้งนี้ถือเป็นการเริ่มต้นชีวิตทางการเมืองของ
นักการเมืองหน้าใหม่หลายคนในขณะนั้น ซึ่งต่อมากลายเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองในเวลาต่อมา เช่น นาย
ชวน หลีกภัย ส.ส.จาก
จังหวัดตรัง, นาย
พิชัย รัตตกุล, นาย
ดำรง ลัทธพิพัฒน์ ส.ส.จากจังหวัดพระนคร และนาย
อุทัย พิมพ์ใจชน ส.ส.จาก
จังหวัดชลบุรี เป็นต้น
[3] [4]