พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2522 จัดเป็น
การเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 14 ในประเทศไทย การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการประกาศใช้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง ส่งผลให้รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลยกเว้นการบังคับเกี่ยวกับการจัดตั้งหรือการสังกัดพรรคการเมืองของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยใช้คำว่า "กลุ่มการเมือง" เป็นการเรียกอย่างไม่เป็นทางการ การเลือกตั้งมีขึ้นในเดือน
ธันวาคม ปีเดียวกันแล้ว พลเอก
เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งขึ้นในวันที่
22 เมษายน พ.ศ. 2522การเลือกตั้งครั้งนี้นับเป็นการเลือกตั้งครั้งแรก ที่มีขึ้นหลัง
เหตุการณ์นองเลือดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ที่
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ
สนามหลวง ซึ่งหลังจากนั้นได้มีการ
รัฐประหารและ
กบฏเกิดขึ้นตามมาอีก รวมทั้งหมด 3 ครั้งผลของการเลือกตั้ง ปรากฏว่า
พรรคประชากรไทยที่เพิ่งมีการก่อตั้งขึ้นมา โดย นาย
สมัคร สุนทรเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตสมาชิก
พรรคประชาธิปัตย์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของพรรค โดยสามารถได้รับเลือกตั้งในพื้นที่
กรุงเทพมหานคร ได้ถึง 29 ที่นั่ง จากทั้งหมด 32 ที่นั่ง โดยเหลือให้แก่ พันเอก
ถนัด คอมันตร์ จากพรรคประชาธิปัตย์,
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และนาย
เกษม ศิริสัมพันธ์ จาก
พรรคกิจสังคม เพียง 3 ที่นั่งเท่านั้น ในขณะที่ภาพรวมทั้งประเทศ พรรคกิจสังคม ได้รับเลือกมาเป็นอันดับหนึ่ง คือ 88 ที่นั่ง ขณะที่ผู้สมัครอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด ได้ทั้งสิ้น 63 ที่นั่ง จากทั้งเสียงหมดใน
สภาผู้แทนราษฎร 301 เสียง จึงไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงเกินครึ่ง ทุกพรรคจึงมีมติสนับสนุนให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ ซึ่งต่อมาในวันที่
12 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนับเป็นสมัยที่ 2การเลือกตั้งครั้งนี้ ถือเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยชนะการเลือกตั้งมาก่อนหน้านั้นถึง 2 ครั้ง คือ ในปี
พ.ศ. 2518 และ
พ.ศ. 2519 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่เคยได้รับการเลือกตั้งมาทั้งหมด ก็เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น ขณะที่ภาพรวมทั้งประเทศจากที่เคยได้มากถึง 114 คน ในปี พ.ศ. 2519 เหลือเพียง 35 คนเท่านั้น ในครั้งนี้
[1]ดังนั้น หลังการเลือกตั้ง ม.ร.ว.
เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคซึ่งไม่ได้ลงรับเลือกตั้งในครั้งนี้ ก็ได้ลาออกพร้อมทั้งคณะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด เพื่อรับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้ง ซึ่งต่อมา ผู้ที่รับได้เลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค คือ พ.อ.
ถนัด คอมันตร์ สมาชิกพรรคผู้ได้รับเลือกตั้งมาเพียงคนเดียวเท่านั้นของกรุงเทพมหานคร และ ม.ร.ว.เสนีย์ ก็ได้ถือโอกาสนี้วางมือจาก
การเมืองทั้งหมด
[2] [3]อนึ่ง การเลือกตั้งครั้งนี้มีความแตกต่างไปจากการเลือกตั้งครั้งอื่น ๆ คือ ในพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2522 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ประกอบการเลือกตั้งครั้งนี้ ในมาตรา 18 ได้กำหนดให้มีการจำกัดสิทธิของผู้ที่ใช้สิทธิเลือกตั้งพอสมควร เช่น ต้องจบการศึกษาระดับ
มัธยมศึกษาตอนปลาย และการไปใช้สิทธินั้นต้องลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ก่อนด้วย โดยเฉพาะผู้ที่เป็น
ชาวไทยเชื้อสายจีนที่เกิดจากบิดาที่เป็น
ชาวจีนอพยพ[4] ทั้ง ๆ ที่ตามกฎหมายแล้ว บุคคลเช่นนี้ถือว่ามีสัญชาติไทยโดยสมบูรณ์ ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งในเวลาต่อมามาตรานี้ก็ได้รับการแก้ไข
[5][6]