การแห่ถอนเงิน เป็นเหตุการณ์ในระบบ
ธนาคารเก็บเงินสดสำรองบางส่วน (fractional reserve banking) เกิดขึ้นเมื่อลูกค้าจำนวนมากพากันถอน
เงินฝากจากสถาบันการเงินในเวลาเดียวกัน และเรียกให้คืนเงินฝากนั้นเป็น
เงินสดหรือรูปแบบอื่น เช่น
พันธบัตรรัฐบาล โลหะมีค่า หรือ
เพชรนิลจินดา เพราะเชื่อว่า สถาบันการเงินดังกล่าวมีหรืออาจมี
หนี้สินล้นพ้นตัว เหตุการณ์เช่นนี้อาจส่งผลให้สถาบันการเงินไม่มีเงินสดอีกต่อไปและ
ล้มละลายเฉียบพลัน
[1]ถ้าแห่ถอนเงินจากสถาบันการเงินเพียงแห่งเดียว ภาษาอังกฤษเรียก "bank run" ถ้าหลายแห่ง เรียก "bank panic" และถ้าทุกแห่งหรือเกือบทุกแห่งในประเทศ เรียก "systemic banking crisis" (วิกฤติการณ์ธนาคารทั่วไป)
[2]เมื่อสถาบันการเงินหลายแห่งล้มละลายสืบเนื่องกันไป
เศรษฐกิจจะถดถอยระยะยาว เพราะเมื่อธนาคารในประเทศพากันปิดตัวลง บริษัทห้างร้านและผู้บริโภคภายในประเทศจะขาดเงินทุน
[3] ตัวอย่าง คือ
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ในช่วง
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่ง
เบน เบอร์นันเก (Ben Bernanke) ประธาน
ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ว่า เกิดขึ้นเพราะเศรษฐกิจส่วนใหญ่เสียหายโดยตรงจากการแห่ถอนเงิน
[4]การกู้วิกฤติการณ์ธนาคารทั่วไปอาจใช้เงินมหาศาล เช่น ในวิกฤติการณ์ครั้งสำคัญตั้งแต่ปี 1970 ถึงปี 2007 ค่าใช้จ่ายเป็นเงินนั้นเฉลี่ยได้ร้อยละสิบสามของ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product) ส่วนยอดความสูญเสียของเศรษฐกิจนั้นเฉลี่ยได้ร้อยละยี่สิบของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
[2]มีการใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อป้องกันหรือบรรเทาผลร้ายของการแห่ถอนเงิน เช่น รัฐบาล
อุดหนุนธนาคาร
ควบคุมธนาคารพาณิชย์ จัดตั้ง
ธนาคารกลางเพื่อให้
กู้เงินในยามยาก และคุ้มครองการ
ประกันเงินฝากดังที่สหรัฐอเมริกาตั้ง
บรรษัทประกันเงินฝากกลาง (Federal Deposit Insurance Corporation) ขึ้นเพื่อการนี้
[1] ครั้นผู้คนแห่ถอนเงินกันแล้ว อาจใช้มาตรการเป็นต้นว่า ระงับการถอนเงินชั่วคราว
[5] แต่มาตรการเหล่านี้ใช่ว่าเป็นผลเสมอไป แม้มีการประกันเงินฝากแล้วก็ตาม เนื่องจากผู้ฝากเงินมักอกสั่นขวัญแขวนอยู่ เพราะเชื่อว่า จะไม่สามารถเข้าถึงเงินฝากได้ในระหว่างจัดระเบียบธนาคารใหม่
[6]