กิจการวิทยุอาสาสมัคร

กิจการวิทยุอาสาสมัคร (Volunteer Radio) เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2524 โดยกรมไปรษณีย์โทรเลข (ขณะนั้น พล.ต.ต.สุชาติ เผือกสกนธ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข) โดยได้จัดสรรความถี่วิทยุย่าน 144-146 MHz. หรือที่เรียกว่า "Two Meter Band" ซึ่งเป็นความถี่ในย่านวิทยุสมัครเล่น รวมทั้งการนำเอาประมวลสัญญาณ คือ Q-Codes ที่ใช้ในกิจการวิทยุสมัครเล่นสากล มาใช้ในการติดต่อสื่อสารภายในข่ายนี้
กิจการวิทยุอาสาสมัคร มีวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ
1. เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้อาสาสมัครช่วยเหลือสังคมส่วนรวมโดยการรายงานข่าวปัญหาสำคัญต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน ในท้องถิ่น ในสาธารณสถานให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องรับทราบและแก้ไขปัญหาได้ทันเหตุการณ์ โดยใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่ตนครอบครองเป็นเครื่องมือรายงานข่าว ซึ่งใช้วิธีการรายงานข่าวเช่นเดียวกับการรายงานข่าวการจราจร และข่าวอุบัติภัยของสมาชิกของสถานีวิทยุกระจายเสียง จส.100 และ สวพ.91 ในปัจจุบันนี้ แตกต่างกันที่เครื่องมือสื่อสารที่ใช้รายงานข่าวเท่านั้น
2. เพื่อให้ผู้ที่สนใจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในเทคนิคการติดต่อสื่อสารในกิจการวิทยุสมัครเล่น แต่ไม่มีโอกาสกระทำได้เช่นเดียวกับนานาประเทศซึ่งได้มีความเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า กิจการวิทยุสมัครเล่นมีบทบาท และเป็นกลไกสำคัญในการวิจัยพัฒนากิจการวิทยุคมนาคมของโลก ทั้งนี้ เนื่องจาก ส่วนราชการของรัฐคือ สภาความมั่นคงแห่งชาติในขณะนั้น ยังมีความหวาดระแวงว่า กิจการวิทยุสมัครเล่นจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ จึงได้ประวิงหน่วงเหนี่ยว แช่เย็นไว้ไม่ยอมให้กรมไปรษณีย์โทรเลขดำเนินการตามที่ได้ขอไป
นักวิทยุอาสาสมัครทุกคนจึงได้ถือว่า วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันสำคัญยิ่งของกลุ่มนักวิทยุอาสาสมัคร และชมรมนี้ได้มีบทบาทในการอาสาสมัครช่วยเหลือบ้านเมืองประเทศชาติในรูปแบบต่าง ๆ มากมายหลายประการ จนเป็นที่ยอมรับของส่วนราชการและสังคมเมืองไทยในขณะนั้น นอกจากนี้ ยังกล่าวได้ว่า กิจการวิทยุอาสาสมัครนี้เองที่ได้ปูรากฐานให้กิจการวิทยุสมัครเล่นของประเทศไทย ฟื้นตัวขึ้นใหม่ ก่อตัวเป็นรูปร่างถูกต้องตามกฎหมายอย่างแท้จริง เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2530 และเจริญเติบใหญ่ มีสมาชิกมากมายมาจนทุกวันนี้
พล.ต.ต.สุชาติ เผือกสกนธ์ได้นำเรื่องการจัดตั้งชมรมวิทยุอาสาสมัครนี้กราบบังคมทูลพระกรุณาทราบ เมื่อได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นการส่วนพระองค์ พระองค์ท่านได้รับสั่งว่า “เป็นการดี พวกเขา (นักวิทยุอาสาสมัคร) จะได้ภาคภูมิใจ” และได้ทรงรับสัญญาณเรียกขาน “วีอาร์-009” ที่พล.ต.ต.สุชาติ เผือกสกนธ์ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเป็นสัญญาณเรียกขานประจำพระองค์ โดย พล.ต.ต.สุชาติ เผือกสกนธ์ ใช้สัญญาณเรียกขานประจำตัวว่า “วีอาร์-001” เป็นการยืนยันว่า พระองค์ท่านได้ทรงเข้าร่วมในข่ายวิทยุอาสาสมัครตั้งแต่วันนั้นชมรมนักวิทยุอาสาสมัครใช้สัญญาณเรียกขานประจำสถานีว่า “วีอาร์-… (VR-…) ” มิได้ใช้ “HS-…” ดังเช่นนักวิทยุสมัครเล่น เนื่องจากเหตุผลทางด้านบริหารราชการแผ่นดินในขณะนั้น ดังกล่าวแล้วข้างต้น
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2524 นักวิทยุอาสาสมัครทุกคนได้มีโอกาสรับฟังพระราชกระแสของพระองค์ท่านผ่านข่ายวิทยุอาสาสมัครเป็นครั้งแรก ภายหลังที่นักวิทยุอาสาสมัครได้ร่วมกันกล่าวคำถวายพระพรทางวิทยุในวันพระชนมพรรษาปีนั้นว่า “วีอาร์ 001 จาก วีอาร์ 009 ขอขอบใจวีอาร์ทุกคน” ทำให้นักวิทยุอาสาสมัครทุกคนที่ได้มีโอกาสได้รับฟังพระสุรเสียงของพระองค์แล้ว บางท่านขนลุกซู่ บางท่านน้ำตาไหลด้วยความปิติยินดีเป็นล้นพ้น
ตลอดเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเข้าร่วมในข่ายวิทยุอาสาสมัคร โดยได้ทรงทดสอบสัญญาณ รายงานสถานภาพของสถานี หรือ เช็คเนตกับศูนย์ควบคุมข่าย “สายลม” ของกรมไปรษณีย์โทรเลขตามระเบียบที่วางไว้เป็นประจำ พระองค์ท่านได้ทรงเคร่งครัดต่อระเบียบข้อบังคับกฎเกณฑ์กติกาของชมรมวิทยุอาสาสมัคร เช่นเดียวกับนักวิทยุอาสาสมัครทั่วไป ทรงจดจำประมวลสัญญาณ หรือ Q-Codes ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารภายในข่ายได้อย่างแม่นยำ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตระหนักดีว่านักวิทยุอาสาสมัครจำนวนไม่น้อยมีความสนใจที่จะขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมในด้านเทคนิคการติดต่อสื่อสารทางวิทยุเพื่อพัฒนาตนเองให้มีทักษะเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในฐานะที่พระองค์ท่านได้ทรงมีความรู้ และประสบการณ์ในเทคนิคแขนงนี้สูงกว่า เนื่องจากได้ทรงผูกพันอยู่กับเรื่องการสื่อสารทางวิทยุมาก่อนเป็นเวลานานกว่า 13 ปี จึงทรงพระกรุณาที่จะพระราชทานความรู้เพิ่มเติมให้แก่นักวิทยุอาสาสมัครอยู่เป็นประจำ
เครื่องรับ-ส่งวิทยุประจำที่ซึ่งได้ทรงใช้ในการติดต่อสื่อสารภายในข่ายวิทยุอาสาสมัครเป็นเครื่องวิทยุยี่ห้อ “YAESU” รุ่น FT-726 ซึ่งเป็นเครื่องยี่ห้อและรุ่นเดียวกับที่ศูนย์ควบคุมข่าย “สายลม” ใช้ เครื่องวิทยุดังกล่าวมีหน้าปัด มีปุ่มควบคุมบังคับการทำงานในหน้าที่ต่าง ๆ ค่อนข้างสลับซับซ้อน สร้างความยุ่งยากสับสนแก่เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯไม่น้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาพระราชทานคำแนะนำวิธีใช้ที่ถูกต้องอยู่เป็นประจำเพื่อให้เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯ ใช้เครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนี้ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯ ประสบปัญหาทางเทคนิคต่าง ๆ อาทิ การรบกวนในลักษณะการผสมคลื่นระหว่างกัน (Intermodulation) การแผ่กระจายคลื่นที่ไม่ต้องการ (Spurious Radiations) จากสถานีวิทยุกระจายเสียง 1 ปณ. ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน และจากสถานีวิทยุคมนาคมอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลจากความถี่ที่ใช้งานคลาดเคลื่อน อัตราการผสมคลื่น (Modulation Index) มากเกินพิกัด เป็นต้น
เรื่องการรบกวนจากสถานีวิทยุกระจายเสียงที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับสถานีวิทยุคมนาคมจนเป็นเหตุให้เกิดการรบกวน มีเสียงจากรายการวิทยุกระจายเสียงเข้ามาสอดแทรกระหว่างการติดต่อสื่อสารนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากในบริเวณสวนจิตรลดา มีสถานีวิทยุกระจายเสียง อ.ส. ซึ่งมีกำลังส่งสูง ตั้งอยู่ไม่ห่างจากพระตำหนักฯ มากนัก การติดต่อสื่อสารทางวิทยุของพระองค์ท่านจึงถูกสถานีวิทยุแห่งนี้รบกวนมาแล้ว และได้ทรงทดลองศึกษาค้นคว้าจนกระทั่งสามารถแก้ไขปัญหาในลักษณะนี้ได้ ดังนั้น เมื่อได้ทรงสังเกตพบในระหว่างที่ได้ทรงรับฟังสัญญาณจากศูนย์ควบคุมข่าย “สายลม” ว่า กำลังประสบปัญหาถูกรบกวนจากสถานีวิทยุกระจายเสียง 1 ปณ. ซึ่งมีกำลังส่งสูงและตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน จึงได้ทรงพระกรุณาพระราชทานแนะนำให้มีการตรวจสอบระบบสายดิน (Ground) ของไมโครโฟน และสายที่เชื่อมต่อเข้ากับเครื่องวิทยุ ด้วยเหตุผลว่า หากระบบสายดินไม่ดี ต่อไว้ไม่แน่น หรือ ขั้วต่อรอยต่อไม่สะอาดเป็นสนิม จะเกิดการชักนำเอาสัญญาณวิทยุกระจายเสียงเข้ามาทำให้เกิดการรบกวนขึ้นได้ หากระบบสายดินเป็นปกติเรียบร้อยดี คงจะต้องต่อวงจรกรองสัญญาณย่านต่ำ (Low Pass Filter) เพื่อป้องกันการรบกวนอีกชั้นหนึ่ง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในขณะที่ทรงเฝ้าฟังการทำงานของศูนย์ควบคุมข่าย “สายลม” อยู่ ได้ทรงสังเกตพบว่า มีสัญญาณอื่นแปลกปลอมเข้ามารบกวนในช่องสัญญาณความถี่กลางของศูนย์ฯ มีความแรงสูงมากเป็นเหตุให้ไม่สามารถรับฟังสัญญาณจากสถานีลูกข่ายได้ พระองค์ท่านได้ทรงพระกรุณาแนะนำให้ศูนย์ฯ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องอุปกรณ์ป้องกันการรบกวนที่เรียกว่า “คาวิตี้ ฟิลเตอร์ (Cavity Filter) ” ซึ่งศูนย์ฯ ใช้งานอยู่ ให้มีขีดความสมารถในการบั่นทอนความแรงของสัญญาณวิทยุที่มีความถี่ไม่ตรงกับช่องปฏิบัติงานให้ได้มากยิ่งขึ้นจึงจะสามารถขจัดปัดเป่าปัญหาการรบกวนได้ โดยได้รับสั่งอธิบายทางอากาศให้เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯ และนักวิทยุอาสาสมัครที่ร่วมรับฟังอยู่ในข่ายในขณะนั้นโดยการเปรียบเทียบความหมายของ “คาวิตี้” ให้เข้าใจได้ง่ายว่า “คาวิตี้ แปลว่า ช่องโหว่ เช่นเดียวกับช่องโหว่ของฟันที่ทำให้เราปวดฟัน…”
ศูนย์ควบคุมข่าย “สายลม” ใช้เสาสายอากาศที่มีความสูงมาก อยู่ในที่โล่งแจ้งพอสมควร จึงประสบปัญหาเรื่องอสุนีบาต หรือ ฟ้าลง เป็นประจำ ในขณะที่ฝนฟ้าคะนองรุนแรง เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯ บางคนอยู่ในอาการหวาดผวา ไม่อยากที่จะปฏิบัติหน้าที่ติดต่อกับสถานีลูกข่ายในสภาพอากาศเช่นนั้น ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานคำแนะนำที่เป็นหลักวิชา ข้อปฏิบัติ และวิธีการป้องกันฟ้าผ่าให้เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯ ได้มีความรู้และเข้าใจ เช่น การปรับปรุงระบบสายดิน ฯลฯ
วิธีการติดต่อสื่อสารในข่ายวิทยุอาสาสมัครเป็นแบบซิมแปล็กซ์ (Simplex) ซึ่งผู้ส่งข่าว จะต้องกดคีย์ที่ไมโครโฟนเพื่อบังคับให้เครื่องส่งวิทยุทำงานส่งก่อน แล้วจึงพูดส่งข้อความไปพร้อมกับคลื่นวิทยุนำสัญญาณ หรือ คลื่นพาห์ (Carrier Wave) เมื่อส่งข้อความจบ จึงจะกล่าวคำว่า “เปลี่ยน” แล้วจึงปล่อยคีย์ เพื่อเปิดโอกาสให้คู่สถานีโต้ตอบกลับมาได้ มีอยู่บ่อยครั้งที่มีการกดคีย์ที่ไมโครโฟนนี้ค้างไว้ ทำให้เครื่องส่งวิทยุนั้นส่งคลื่นวิทยุนำสัญญาณแผ่กระจายออกมาตลอดเวลาทั้งโดยเจตนาเพราะไม่มีวินัยไร้มารยาทในการติดต่อสื่อสาร และทั้งโดยไม่เจตนา เป็นเหตุให้ไม่สามารถใช้ช่องสัญญาณความถี่นั้นติดต่อกันได้ บางทีก็ใช้วิธีกดคีย์ไมโครโฟนเข้าแทรกในจังหวะเวลาช่องว่างระหว่างการสนทนา มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในขณะที่กำลังพระราชทานคำแนะนำในด้านวิชาการให้แก่ศูนย์ควบคุมข่าย “สายลม” ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้เวลานานพอสมควร ได้มีการกระทำในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นระยะสั้น ๆ หลายครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตรวจสอบความแรงของสัญญาณ และความถี่ของสถานีวิทยุที่กดคีย์เข้ามาแล้ว ทรงทราบว่า เป็นสัญญาณที่แปลกปลอมเข้ามา จึงได้รับสั่งให้ผู้ที่กำลังรับฟังพระราชกระแสอยู่ว่า “คงเป็นเพราะเราผูกขาดความถี่มานานพอสมควร คนอื่นอยากเข้ามา ถ้าเข้ามาก็เชิญ วีอาร์-009 เคลียร์ ไม่ต้องเบรก” (เคลียร์=Clear เป็นภาษาพูดของนักวิทยุอาสาสมัครแจ้งความประสงค์ขอเลิกการติดต่อ เบรก=Break เป็นภาษาพูดของนักวิทยุอาสาสมัครแจ้งความประสงค์ขอเข้าแทรกระหว่างการสนทนาในช่องสัญญาณทางวิทยุของคู่สถานีหนึ่ง)
ดังที่ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์สำคัญประการหนึ่งในการจัดตั้งชมรมนักวิทยุอาสาสมัคร คือ การอาสาสมัครช่วยเหลือสังคมส่วนรวมโดยการรายงานข่าวปัญหาสำคัญต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในท้องถิ่นชุมชม สาธารณสถาน ให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องรับทราบและแก้ไขปัญหาได้ทันเหตุการณ์โดยใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่ตนครอบครองเป็นเครื่องมือรายงานข่าวในด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ชมรมวิทยุอาสาสมัครได้ร่วมปฏิบัติการกับกองบังคับการสายตรวจ และปฏิบัติการพิเศษ กรมตำรวจ ซึ่งมีศูนย์ควบคุมข่ายใช้สัญญาณเรียกขานว่า “ผ่านฟ้า” หรือที่ประชาชนรู้จักกันทั่วไปว่า “ศูนย์ 191” ในการจัดสายตรวจร่วมโดยใช้รถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องรับ-ส่งวิทยุของนักวิทยุอาสาสมัครเป็นรถยนต์สายตรวจโดยมีนักวิทยุอาสาสมัครเป็นผู้ขับ และปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานวิทยุรายงานข่าวนั่งคู่ไปกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยนักวิทยุอาสามัครเหล่านี้จะได้รับการฝึกอบรมให้มีความรู้ความเข้าใจในอำนาจหน้าที่ของตนว่า มิได้มีอำนาจในการจับกุมหรือปราบปรามคนร้ายตามกฎหมายแต่อย่างใด วิธีการนี้ได้ช่วยแบ่งเบาภาระในเรื่องค่าใช้จ่ายในการจัดรถสายตรวจของกรมตำรวจซึ่งไม่เพียงพอได้เป็นอย่างมาก

ใกล้เคียง

กิจการเพื่อสังคม กิจการของอัครทูต กิจการวิทยุคมนาคม กิจการเคลื่อนที่ทางทะเล กิจการนักศึกษา กิจการร่วมค้า กิจการร่วมค้า อะครอส เดอะ ยูนิเวิร์ส กิจการวิทยุสมัครเล่น กิจการวิทยุอาสาสมัคร กิจการ