ประวัติ ของ ฃ

สมัยสุโขทัย

ตัวอักษรไทยสมัยอาณาจักรสุโขทัย

หลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่ปรากฏการใช้ ฃ ในภาษาไทย คือ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (จารึกเมื่อ พ.ศ. 1826) พบว่ามีการใช้ ฃ อยู่ 11 คำ[6][7] ได้แก่ ฃบบ (ขับร้อง)[lower-alpha 1], ฃ๋า (ฆ่า)[lower-alpha 2], ฃาม (มะขาม), ฃาย (ขาย), เฃา (ภูเขา), เฃ๋า (เข้า)[lower-alpha 3], ฃึ๋น (ขึ้น), ฃอ (ตะขอ) [8], ฃุน (ขุน), ฃวา (ขวา), แฃวน (แขวน)

นอกจากนั้น นักประวัติศาสตร์ยังได้พบกับร่องรอยของการใช้ ฃ ในจารึกอีกหลายแห่งในประเทศไทย เช่น จารึกป่านางเมาะ[9] จารึกพ่อขุนรามพล[10] จารึกวัดกำแพงงาม[11] และจารึกแสดงผลกรรมนำสู่นิพพาน[12] ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานไว้ว่าอักษร ฃ เป็นอักษรที่ปรากฏครั้งแรกในปี พ.ศ. 1935

ปัจจุบัน นักภาษาศาสตร์ได้นำคำที่ใช้เขียนด้วย ข และ ฃ ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ไปเปรียบเทียบกับภาษาไทถิ่นอื่น ๆ เช่น ไทขาว ก็พบว่าเป็นคำที่ใช้เสียงประเภทเดียวกัน และแยกเสียง ข และ ฃ เหมือนกัน เพราะคำเหล่านี้เป็นคำที่เป็นมรดกตกทอดมาจากภาษาไทโบราณเก่าแก่ตั้งแต่ยังไม่มีอักษรเกิดขึ้น ภาษาไทถิ่นยังใช้คำเหล่านี้อยู่ แต่ว่าเสียงเพี้ยนไป โดยร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงนี้สามารถสังเกตได้ชัดเจนจากศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่าเริ่มมีการใช้ ข และ ฃ อย่างสับสน และใช้แทนที่กันในหลายแห่ง เช่น บ้างก็ใช้ ขุน บ้างก็ใช้ ฃุน[13]

นอกจากนี้ นักภาษาศาสตร์อ้างว่าการออกเสียง ฃ ในอดีตคือ [x] ซึ่งออกเสียงแตกต่างจาก ข [kʰ] ปัจจุบัน เราสามารถพบเห็นเสียงนี้ในภาษาไทสาขาอื่น ๆ เช่น ภาษาไทลื้อ ซึ่งยังคงสงวนเสียง [x] อยู่[14] ผู้ที่ประดิษฐ์อักษรไทยสมัยสุโขทัยนั้น ได้ทราบการแตกต่างในการออกเสียง จึงได้ประดิษฐ์อักษรที่แตกต่างกัน เพื่อแทนค่าการออกเสียงของทั้งสองเสียงนี้

สมัยอยุธยาและธนบุรี

ครั้นถึงสมัยอาณาจักรอยุธยา ตัวภาษาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาก[15] ซึ่งคาดว่าอาจเป็นเพราะว่ามีการใช้ศัพท์ใหม่เพิ่มเข้ามา[16] จากนั้นพบว่ามีการใช้ ฃ เริ่มลดลง แม้จะยังพอมีใช้กันบ้าง ทว่าไม่ปรากฏหลักเกณฑ์การใช้ ฃ ในตำราว่าด้วยอักขรวิธีของไทยในสมัยนั้น อีกทั้งพบว่าหลงเหลือหลักฐานอยู่น้อยมาก เช่น จารึกบนแผ่นอิฐมอญ จำนวน 3 ชิ้น ซึ่งพบที่ฝาผนังอุโบสถวัดท่าพูด อำเภอสามพราน[17]

สมัยรัตนโกสินทร์

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาศรีสุนทรโวหารได้ระบุคำที่เขียนด้วย ฃ ในหนังสือชื่อ นิติสารสาธก เล่ม 1 ได้แก่ ฃอ[8], ฃ้อความ, ฃัน, ฃาน, ฃาด, ฃายหน้า, ฃำ, เฃา, เฃ้า, ฃุน, ไฃ, โฃก, ฃอง, เฃียน, ฃยัน และฃลุม

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหนังสือ "อักขราภิธานศรับท์" ของหมอบรัดเลย์ ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2416 พบคำที่ใช้ ฃ ขวด ได้แก่ "ฃิก, ฃุก ๆ, ฃุกฃัก, ฃุกค่ำฃุกคืน, เฃกหัว, เฃกโฃก, แฃก, โฃก, ฃอกรั้ว, ฃงจู๊ และ ฃัง" (เฉพาะคำว่า "ขัง" พอเป็นลูกคำ เช่น ขังไก่ ขังคน ฯลฯ ใช้ ข ไข่ทั้งหมด) คำว่า "ข้าง" ใช้ ฃ ขวดก็มี ข ไข่ก็มี ส่วนคำที่ใช้ ข "ขิง, ขึง, ขึ้ง เข่ง, แขง, แข่ง, แข้ง, โขง, โข่ง, ของ" (รวมทั้งลูกคำ ยกเว้น ของสงฆ์) อันแสดงให้เห็นถึงความไม่มีเอกภาพในการใช้ ข ไข่ และ ฃ ขวด[18]

ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อมีปทานุกรมของกระทรวงธรรมการ พ.ศ. 2470 ก็มีการระบุไว้ว่า "ฃ เป็นพยัญชนะตัวที่สามของพยัญชนะไทย แต่บัดนี้ไม่มีที่ใช้"[19] เป็นอันหมดวาระของ ฃ ลง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้จัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยขึ้น เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2485[20] ซึ่งทำการลงมติให้ตัดตัวอักษรที่มีเสียงซ้ำกันออกไปหลายตัว รวมไปถึง ฃ ด้วย[21] โดยให้เปลี่ยนไปใช้ ข แทนทั้งหมด[22] แต่หลังจากใช้แบบอักษรใหม่เป็นเวลา 2 ปี ก็กลับมาใช้อย่างเดิมอีก

จนถึงปัจจุบัน แม้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 จนถึงฉบับปรับปรุงแก้ไข พ.ศ. 2542 ก็ได้ให้คำอธิบายตัวอักษร 2 ตัวคือ ฃ และ ฅ ว่า "เลิกใช้แล้ว"[3][23] ทั้งที่ไม่เคยมีการประกาศเลิกใช้อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด[24] ในสมัยหลังมา ปรากฏว่าใช้คำว่า เฃตร ที่ใช้พยัญชนะ ฃ อยู่เพียงคำเดียว จึงได้เรียกชื่ออักษรดังกล่าวว่า "ฃ เฃตร" แต่ภายหลังคำว่า "เฃตร" ก็เลิกใช้ไปอีก โดยแปลงเป็นเขตแทน ทำให้คำที่ปรากฏว่าใช้ ฃ ขวด ไม่มีอีกแล้วในภาษาไทย

การหายไป

สำหรับสาเหตุที่ทำให้มีการเลิกใช้ ฃ (ขวด) และ ฅ (คน) ไปอย่างสิ้นเชิงทีเดียวเลยนั้น คงเนื่องมาจากว่า เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยยุคแรกในปี พ.ศ. 2434 (ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ซึ่งนายเอ็ดวิน ฮันเตอร์ แมคฟาร์แลนด์ได้ดัดแปลงเครื่องพิมพ์ดีดมาจากแบบของโรงงานสมิทพรีเมียร์นั้น ตัวแป้นพิมพ์มีตัวอักษรไม่เพียงพอที่จะรองรับอักษรไทยทั้งหมด และด้วยเหตุผลที่ว่า "[ฃ] เป็นพยัญชนะที่ไม่ค่อยได้ใช้ และสามารถทดแทนด้วยพยัญชนะตัวอื่นได้"[25] จึงมีการตัดพยัญชนะออก 2 ตัว คือ ฃ และ ฅ[19] ซึ่งศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือ "ตำนานอักษรไทย"

ส่วนการหายไปของ ฃ ในทางภาษาศาสตร์นั้น นักภาษาศาสตร์ได้ทำการศึกษาประวัติของพยัญชนะ ฃ และสันนิษฐานว่า ฃ เดิมมีฐานเสียงที่แตกต่างจากฐานเสียงของ ข โดยมีลักษณะเสียงเป็น พยัญชนะลิ้นไก่อโฆษะ ซึ่งพบได้ในภาษาต่าง ๆ ในกลุ่มภาษาไท และภาษาอื่น ๆ [7] กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ เสียง ฃ และ ฅ ในสมัยสุโขทัยนั้นออกเสียงลึกกว่าเสียง ข (ไข่) และ ค (ควาย) เวลาที่ออกเสียง ข (ไข่) และ ค (ควาย) โคนลิ้นแตะที่เพดานอ่อน ส่วน ฃ และ ฅ นั้น โคนลิ้นจะแตะที่ส่วนที่ถัดเพดานอ่อนเข้าไปอีก ซึ่งในปัจจุบันไม่มีเสียงนี้แล้วในภาษาไทยมาตรฐาน

และสำหรับการที่ ฃ และ ฅ ค่อย ๆ หายไปจากภาษาปัจจุบันนั้น ยังเกิดจากอีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นลักษณะธรรมชาติของภาษาที่ว่า เสียงใดเป็นเสียงโดดเดี่ยว ไม่มีความสัมพันธ์กับพยัญชนะใดเป็นพิเศษจะเปลี่ยนแปลงเสียง หรือสูญเสียเสียงได้เร็วกว่าพยัญชนะที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น ยกตัวอย่างเช่น ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น เพราะเป็นเสียงก้อง ไม่มีลม แต่เนื่องจาก ฃ และ ฅ เป็นเสียงโดดเดี่ยว ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไป ฐานที่เกิดขึ้นจาก ฃ และ ฅ จะเขยิบขึ้นมากลายเป็น ข และ ค ตามลำดับ[26] ซึ่งศาสตราจารย์ ดร. คุณหญิงสุริยา รัตนกุลได้กล่าวว่า "...คนไทยในสมัยปัจจุบันไม่ได้มีหน่วยเสียงเสียดแทรกที่ฐานกรณ์ลิ้นไก่อยู่เหมือนในสมัยพ่อขุนรามคำแหง การค้นพบเสียงนี้ในภาษาไทขาวในประเทศเวียดนามและในภาษาตระกูลกัม-สุย (Kam-Sui) ในประเทศจีนช่วยให้ข้อสันนิษฐานในบทความนี้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น แต่การที่จะคิดว่าควรให้ภาษาไทขาวหรือภาษาตระกูลกัม-สุย เป็นต้นแบบสำหรับให้คนไทยหัดออกเสียง /q/ และเสียง /ɢ/ ตลอดจนความพยายามที่จะรื้อฟื้นนำ ฃ และ ฅ กลับมาใช้ใหม่นั้น คงเป็นความพยายามประเภทที่คนไทยเรียกว่า "ขี่ช้างจับตั๊กแตน"..."[26]

ใกล้เคียง

แหล่งที่มา

WikiPedia: ฃ http://www.aksorn.com/webguide/webguide_detail.php... http://boatofarts.multiply.com/journal/item/14 http://www.pasalanna.com/ http://www.praphansarn.com/new/c_lift/detail.asp?I... http://www.reurnthai.com/index.php?action=printpag... http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp... http://guru.sanook.com/enc_preview.php?id=1747&tit... http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.... http://www.fileformat.info/info/unicode/block/thai... http://www.tpschamnong.iirt.net/article/basa_5nt13...