ภูมิหลัง ของ คริสเตอะ

ไมโทคอนเดรียนซึ่งระบุให้เห็นคริสเต

หลังการค้นพบลักษณะธรรมชาติของไมโทคอนเดรียที่มีเยื่อหุ้มสองชั้น งานวิจัยในยุคแรก ๆ ที่เสนออูลตราสตรักเจอร์ของไมโทคอนเดรียได้เสนอแบบจำลองต่าง ๆ ของการจัดการกับเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรีย[3] สามแบบจำลองที่มีการเสนอได้แก่:

  • แบบจำลองแผ่นกั้น (Baffle model) – ตามที่จอร์จ เอมิล พาลาเด (George Emil Palade) เสนอในปี 1953 ระบุว่าเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรียนั้นขดม้วน (convoluted) ในรูปแบบเหมือนแผ่นกั้น (baffle-like) และมีรูเปิดที่กว้างไปสู่พื้นที่ระหว่างคริสเต (อินตรา-คริสตาล สเปส; intra-cristal space) แบบจำลองนี้เคยปรากฏในแบบเรียนส่วนใหญ่และเคยได้รับการเชื่อถือเป็นระยะเวลายาวนาน
  • แบบจำลองเซปตา (Septa model) – ฟริติออฟ เอส. สเจิสสตรันด์ (Fritiof S. Sjöstrand) เสนอในปี 1953 ว่าเปลือกของเยื่อหุ้มชั้นในนั้นขยายออกเหมือนผนังกั้น เซปตา (septa) (รูปพหูพจน์ของเซปตัม septum) ไปตลอดทั่วในเมตริกซ์ แยกเมตริกซ์ออกเป็นช่อง ๆ (compartments) ที่ต่างกัน[4]
  • แบบจำลองคริสเตอะจังก์ชั่น (Crista junction model) – เดมส์และวีสส์ (Daems and Wisse) เสนอในปี 1966 ว่าคริสเตนั้นเชื่อมต่อกันกับเยื่อหุ้มชั้นในผ่านทางโครงสร้างท่อ (tubular structures) ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางที่ค่อนข้างเล็ก เรียกว่า คริสเตอะจังก์ชั่น (crista junctions; CJs) โครงสร้างเหล่าต่อมาได้ถูกค้นพบใหม่ในปี 2008 ผ่านทอมอกราฟของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (EM tomography) นำไปสู่การยอมรับแบบจำลองนี้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน[5]

งานวิจัยล่าสุดในปี 2019 พบว่าแถวของไดเมอร์เอทีพีซินเตส (ATP synthase dimers) (ชื่อเดิมที่เรียกกันคืออนุภาคปฐม; "elementary particles" หรือออกซีโซม; "oxysomes") ก่อตัวขึ้นบนคริสเต ไดเมอร์เหล่านี้ทำให้เยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรียเกิดการโค้งงอ อันอาจเป็นขั้นแรกของการเกิดคริสเตในไมโทคอนเดรีย[6]

คริสเตอะสามารถแบ่งออกเป็นชนิดตามรูปทรง ได้แก่แบบลาเมลลาร์ (lamellar), แบบท่อ (tubular) และแบบเวซิคิวลาร์ (vesicular)[7] ลักษณะที่ต่างกันนี้ปรากฏในเซลล์ชนิดต่าง ๆ กัน ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าลักษณะต่าง ๆ นั้นเกิดจากวิถี (pathways) ที่ต่างกันหรือไม่[8]