คลองบางกอกใหญ่ หรือชื่อในอดีตว่า
คลองบางหลวง เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของ
แม่น้ำเจ้าพระยาหรือ
แม่น้ำเจ้าพระยาสายหลักตามธรรมชาติมาก่อน กล่าวคือ บริเวณ
แม่น้ำเจ้าพระยาสายปัจจุบันตั้งแต่ปาก
คลองบางกอกน้อย ตรงข้าม
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปจนถึงปากคลองบางกอกใหญ่ดังที่เห็นในปัจจุบันนั้นในอดีตเคยเป็นแผ่นดิน และ
แม่น้ำเจ้าพระยาเดิมจะอ้อมเลี้ยวจากหน้า
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นคุ้งกว้างมาทะลุออกข้าง
วัดท้ายตลาด ต่อมาในรัชสมัย
สมเด็จพระไชยราชาธิราช (พ.ศ. 2077 - 2089) โปรดเกล้าให้ขุดคลองลัดระหว่างคุ้งแม่น้ำทั้งสอง
[1] ในบริเวณดังกล่าว เพื่อย่นระยะทางและอำนวยความสะดวกให้กับบรรดาพ่อค้าทูตานุทูตชาวตะวันตกที่เริ่มเข้ามาติดต่อค้าขายและเจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในสมัยนั้น ต่อมาเมื่อกระแสน้ำส่วนใหญ่เปลี่ยนทิศทางมาไหลผ่านคลองขุดใหม่ คลองลัดนี้ก็ค่อยๆ กว้างใหญ่ขึ้นจนกลายเป็น
แม่น้ำ ส่วน
แม่น้ำเจ้าพระยาเดิมก็เริ่มเล็กลงจนกลายเป็น
คลองบางกอกน้อยและคลองบางกอกใหญ่ ถึงสมัย
สมเด็จพระเจ้าตากสิน ราชสำนักย้ายมาอยู่ที่
กรุงธนบุรี คลองบางกอกใหญ่กลายมาเป็นชุมชนของข้าหลวง และโปรดเกล้าให้บรรดา
ชาวจีนซึ่งได้เคยช่วยเหลือพระองค์มาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองบางกอกใหญ่ ผู้คนจึงนิยมเรียกกันติดปากว่า "คลองบางข้าหลวง" หรือ "คลองบางหลวง" สืบมาถึงในปัจจุบัน
[2]รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร กำหนดให้คลองบางกอกใหญ่เป็นคลองสำคัญซึ่งจะต้องอนุรักษ์ไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
13 มิถุนายน พ.ศ. 2510ปากคลองบางกอกใหญ่แยกจาก
แม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งขวาของ
ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ไปสิ้นสุดที่
คลองมอญ ตรงข้ามปาก
คลองชักพระ[3] มีความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร
[4]คลองบางกอกใหญ่ในปัจจุบันนั้นถือเป็นเส้นทางสัญจรและระบายน้ำ และด้วยความที่เคยเป็นลำน้ำเจ้าพระยาสายเดิมมาก่อนในอดีตตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี จึงมีสถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ตั้งริมสองฝั่งมากมาย ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างมากจนถึงปัจจุบัน มีศาสนสถานตั้งอยู่อย่างหนาแน่นทั้งสองฝั่ง วัดและมัสยิดริมคลองบางกอกใหญ่ได้แก่