คลอร์เตตราไซคลีน (
อังกฤษ: Chlortetracycline ชื่อการค้า
Aureomycin, Lederle) เป็น
ยาปฏิชีวนะชนิดแรกใน
กลุ่มเตตราไซคลีน คลอร์เตตราไซคลีนถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1945 โดย
เบนจามิน มิงก์ ดักการ์ (Benjamin Minge Duggar) ขณะที่เขาทำงานอยู่ที่เลเดอร์ลีแลบอทอรีส์ (Lederle Laboratories) ภายใต้การดูแลควบคุมของ
เยลลาปรากาดา ซุบบาโรว์ (Yellapragada Subbarow) โดยดักการ์ประสบผลสำเร็จในการคัดแยกยาปฏิชีวนะชนิดนี้จากแบคทีเรีย
แอคติโนมัยสีทที่เพาะเลี้ยงได้จากตัวอย่างดินที่เก็บมาจาก
ทุ่งแซนบอร์นที่
มหาวิทยาลัยมิสซูรี[3] โดยแบคทีเรียดังกล่าวถูกตั้งชื่อในภายหลังว่า
Streptomyces aureofaciens และให้ชื่อการค้าแรกของยาดังกล่าวว่า
Aureomycin ทั้งนี้เนื่องมาจากสีเหลืองทองของยาและแบคทีเรียที่ค้นพบดังกล่าว
[2] ส่วนในวงการ
สัตวแพทย์ คลอร์เตตราไซคลีนมักถูกนำมาใช้เพื่อรักษา
เยื่อตาอักเสบใน
แมวอยู่บ่อยครั้ง
[4]ทั้งนี้ การได้รับการรักษาด้วยคลอร์เตตราไซคลีนร่วมกับ
อะซีโนคูมารอลอาจเพิ่มฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดของยาดังกล่าวได้ ดังนั้น ผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาสองชนิดนี้ร่วมกัน ควรมีการติดตามค่าพารามิเตอร์ที่เกี่ยวเนื่องกับการแข็งตัวของเลือดอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ อาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงจากคลอร์เตตราไซคลีนอาจเพิ่มขึ้นได้เมื่อได้รับการบริหารยานี้ร่วมกับ
แอซิเทรทิน,
อะดาพาลีน, หรือ
อะลิเทรทิโนอิน ส่วนการรับประทาน
ยาหรือ
อาหารที่มีส่วนผสมของ
อะลูมิเนียมฟอสเฟตและ
อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์จะทำให้การดูดซึมคลอร์เตตราไซคลีนในทางเดินอาหารลดลงได้ ส่งผลให้ความเข้นข้นในกระแสเลือดและประสิทธิภาพการรักษาของคลอร์เตตราไซคลีนน้อยลงตามไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การใช้คลอร์เตตราไซคลีนร่วมกับยาปฏิชีวนะชนิดอื่นบางชนิดอาจทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาของยาที่ใช้ร่วมลดลง เช่น
มีซิลลินัม (แอมดิโนซิลลิน),
อะม็อกซีซิลลิน, และ
แอมพิซิลลิน เป็นต้น ในบางกรณีคลอร์เตตราไซคลีนก็อาจเพิ่มอาการไม่พึงประสงค์ที่ร้ายแรงของยาอื่นที่ใช้ร่วมได้ เช่นในกรณีที่ใช้ร่วมกับ
อะทาคิวเรียมเบซิเลท (atracurium besilate) อาจทำให้ฤทธิ์หย่อนกล้ามเนื้อ (neuromuscular blocking effect) ของยานี้เพิ่มขึ้นได้
[5]