สมัยใหม่

ระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศรุนแรงขึ้นจากสงครามเย็น แต่จอมพลแปลกได้ส่งลูก ๆ ของสังข์ พัธโนทัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเขาไปอาศัยอยู่ในประเทศจีนด้วยท่าทีปรารถนาดี แต่ยังเป็นการลับหลังอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งหนังสือมุกมังกรที่เขียนโดยสิรินทร์ ลูกสาวของสังข์ พัธโนทัย ได้เล่าถึงประสบการณ์ของเธอที่เติบโตขึ้นในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในประเทศจีน

ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2506 พระมหากษัตริย์ไทยภูมิพลอดุลยเดชและพระมเหสีได้เสด็จเยือนไทเป ณ สาธารณรัฐจีน (ROC) ส่วนในปี พ.ศ. 2512 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เจียง จิ่งกั๊วะ ได้เยือนกรุงเทพมหานครในฐานะทูตพิเศษของรัฐบาลสาธารณรัฐจีนเพื่อเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ไทย ทั้งนี้ ประเทศไทยได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ทางการทูตจากสาธารณรัฐจีนเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2518[9]

ก่อนปี พ.ศ. 2518 ความสัมพะนธ์ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับไทยเป็นหนึ่งในความหวาดระแวงซึ่งกัน เนื่องจากสาธารณรัฐประชาชนจีนสนับสนุนกลุ่มที่เอียงซ้ายในแวดวงการเมืองไทย และไทยได้ระมัดระวังการมีส่วนร่วมของจีนกับความขัดแย้งของประเทศกัมพูชา[1]

นับตั้งแต่ไทยเชื้อสายจีนเข้าครอบงำเศรษฐกิจไทยตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1950 ธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายไผ่[10] เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เป็นนักลงทุนต่างประเทศรายใหญ่สุดในจีน[11]

หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับชาติตะวันตกเสื่อมลง และไทยหันไปเข้ากับประเทศจีนมากขึ้น[12] ความสัมพันธ์ดังกล่าวมี ส.ส. อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรว่า ไทยตกเป็นมณฑลหนึ่งของประเทศจีน โดยสังเกตได้จากการเข้ามากว้านซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ การยอมให้จีนสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงโดยไม่ทักท้วง การยอมให้บริษัทเอกชนจีนสร้างรถไฟความเร็วสูงในประเทศโดยใช้เงินทุนจากการกู้ยืมประเทศจีน[13] ในปี 2563 นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชาลงนามข้อตกลงสร้างทางรถไฟมูลค่า 50,000 ล้านบาทกับรัฐบาลจีน[14]