คืนกระจกแตก หรือเรียกอีกชื่อว่า
คริสทัลล์นัคท์ (
เยอรมัน: Kristallnacht) เป็นเหตุการณ์การสังหารหมู่ชาวยิวใน
นาซีเยอรมนีเมื่อวันที่ 9-10 พฤศจิกายน 1938 ที่ได้ถูกดำเนินการโดยหน่วย
ชตวร์มอัพไทลุง (SA) และกองกำลังพลเรือนชาวเยอรมัน เจ้าหน้าที่ตำรวจเยอรมันได้แต่เฝ้าดูสถานการณ์โดยไม่เข้าแทรกแซงใดๆเลย คำเรียกว่า คริสทัลล์นัคท์ ("คืนเกล็ดแก้ว") มาจากเศษกระจกที่ได้แตกเกลื่อนไปตามท้องถนน หลังจากที่หน้าต่างของห้างร้านที่มีชาวยิวเป็นเจ้าของและ
ธรรมศาลาถูกทุบตีหรือขว้างด้วยวัตถุจนแตกจำนวนผู้เสียชีวิตที่เกิดจากการสังหารหมู่มีตัวเลขแตกต่างกัน รายงานในช่วงแรกคาดว่าชาวยิว 91 คนถูกฆ่าตายระหว่างการโจมตี การวิเคราะห์สมัยใหม่แหล่งวิชาการเยอรมันโดยนักประวัติศาสตร์ เช่น
ริชาร์ด เจอีแวนส์ ทำให้จำนวนเพิ่มสูงขึ้นมาก เมื่อเสียชีวิตจากการกระทำผิดหลังการจับกุมและการฆ่าตัวตายที่ตามมาจะถูกรวมยอดผู้เสียชีวิตปีนขึ้นไปเป็นจำนวนร้อย นอกจากนั้นชาวยิวกว่า 30,000 คนถูกจับกุมและคุมขังในค่ายกักกันนาซีบ้านของชาวยิว, โรงพยาบาล และโรงเรียนถูกรื้อค้นและถูกโจมตีด้วยค้อน
ธรรมศาลากว่า 1,000 แห่งถูกวางเพลิง (มีเพียง 95 แห่งใน
กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียเท่านั้น) และธุรกิจร้านค้าของเหล่าชาวยิวกว่า 7,000 แห่งถูกทำลายหรือได้รับความเสียหาย มีการรายงานข่าวอย่างกว้างขวางจากผู้สื่อข่าวต่างชาติที่ทำงานในเยอรมนี ข่าวเหล่านี้สร้างความตกตะลึงไปทั่วยุโรปและอเมริกา หนังสือพิมพ์เดอะไทม์ของลอนดอนฉบับวันที่ 11 พฤศจิกายน 1938 ได้ตีพิมพ์ว่า: "ไม่มีนักโฆษณาชวนเชื่อต่างชาติเคยว่าร้ายเยอรมนีมาก่อน จนกระทั่งโลกได้รับรู้เรื่องราวการวางเพลิงและทำลาย รวมถึงเรื่องราวการทำร้ายอย่างอันธพาลต่อประชาชนบริสุทธิ์ที่ไร้อาวุธ เหตุวานนี้ถือเป็นความอัปยศในประเทศนั้น"
[1]ฝ่ายนาซีอ้างว่าปฏิบัติการครั้งนี้ก็เพื่อตอบโต้การสังหาร
แอนสท์ ฟอม รัท เจ้าหน้าที่การทูตของนาซี ซึ่งถูกสังหารโดยนาย
แฮร์มัน กรึนชปัน ที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1938 คืนกระจกแตกตามมาด้วยการคว่ำบาตรธุรกิจยิวและการกวาดล้างชาวชิว ซึ่งนักประวัติศาสตร์มองว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายทางเชื้อชาติของนาซีและเป็นจุดเริ่มต้นของ
การแก้ปัญหาชาวยิวครั้งสุดท้ายและ
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยนาซี