ประวัติ ของ จัสติน_ทิมเบอร์เลก

ชีวิตช่วงแรก

จัสติน ทิมเบอร์เลก เกิดในเมมฟิส รัฐเทนเนสซี เป็นบุตรชายของ ลินน์ ฮาร์เลสส์ (นามสกุลเดิม โบมาร์) และแรนดัลล์ ทิมเบอร์เลก[2] เขามีเชื้อสายอังกฤษ ถึงแม้ว่าเขาจะอ้างว่าเขามีเชื้อสายทางอเมริกัน-อินเดียน ซึ่งอาจมาจากเฮนรี ทิมเบอร์เลก นักสำรวจและทำแผนที่อเมริกาในยุคล่าอาณานิคม[3][4]ปู่ของเขา ชาลส์ แอล. ทิมเบอร์เลก เป็นผู้สอนศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนต์ และตัวทิมเบอร์เลกเองก็นับถือโปรแตสแตนต์เช่นกัน

พ่อแม่ของเขาหย่ากันราวปี ค.ศ. 1985 เมื่อเขาอายุราว 5 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานใหม่ โดยแม่ของเขาปัจจุบันเปิดบริษัทเกี่ยวกับแวดวงบันเทิง ชื่อ จัส-อิน ไทม์ เอนเตอร์เทนเมนต์ โดยแต่งงานกับ พอล อาร์เลสส์ นายธนาคาร ส่วนพ่อของเขาเป็นผู้กำกับเสียงประสานในโบสถ์ มีลูก 2 คนคือ โจนาธาน (เกิดปี 1993) และ สตีเฟน (เกิดปี 1998) ทั้งสองคนหลังการแต่งใหม่กับ ลิซา[5] ทิมเบอร์เลกเติบโตมาในเชลบี ฟอร์เรส เมืองเล็ก ๆ ระหว่างเมมฟิสและมิลลิงตัน เขาได้ลงแข่งขันประกวดร้องเพลงครั้งแรกในงานแข่งขันร้องเพลงคันทรีในรายการค้นหาดาราในชื่อ "จัสติน แรนดัล" [6]

จัสติน ทิมเบอร์เลกเป็น 1 ในสมาชิกมิคกี้ เม้าส์ คลับ ซึ่งมีสมาชิกอย่างบริทนีย์ สเปียร์ส, คริสติน่า อากีเลร่า และ เจซี แชสเซส์ พออายุ 14 ปี คริส เคิร์กแพททริค ก็ติดต่อเขาให้มาร่วมวงผ่านทางเอเยนต์ จนได้ก่อตั้งเป็น 'N Sync ซึ่งได้ก่อตั้งในปี 1995 โดยวง 'N Sync มีอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอย่างมากที่มียอดขายเร็วที่สุด คืออัลบั้ม No Strings Attachedในอัลบั้ม Celebrity จัสตินได้มีส่วนร่วมในการแต่งเพลงถึง 7 เพลงรวมถึง Pop ซิงเกิลฮิตเพลงแรกของอัลบั้มนี้ด้วย นอกจากนี้ยังโปรดิวซ์เพลงเองอีก 3 เพลง รวมทั้งยังแต่งเพลง What It's Like To Be Me ให้อัลบั้ม Britney ของ บริทนีย์ สเปียร์ส ด้วย

1995–2002: เอ็นซิงก์‎

ดูบทความหลักที่: เอ็นซิงก์‎

ทิมเบอร์เลกและเจซี ชาเซ ได้รู้จักกันเมื่อครั้งอยู่ในมิกกี้เมาส์คลับ ได้เข้ามาเป็นนักร้องนำวงบอยแบนด์ที่ได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษ 1990 ที่ชื่อ เอ็นซิงก์[7] โดยได้เริ่มก่อตั้งวงในปี 1995 และเริ่มต้นอาชีพด้านดนตรีในปี 1996 ในยุโรป มีเพลงฮิตในสหรัฐอเมริกาหลังจากนั้น 2 ปี โดยออกผลงานอัลบั้มแรกในสหรัฐอเมริกาชื่ออัลบั้ม *NSYNC มียอดขาย 11 ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกา[8] โดยมีเพลงฮิตอย่างเช่น Tearin' Up My Heart หลังจากนั้น 2 ปีพวกเขาเจอเหตุการณ์คล้าย ๆ กับวงแบ็กสตรีทบอยส์ ที่เกิดการสู้ทางด้านกฎหมายอันยาวนานเกี่ยวกับการโกงของผู้จัดการพวกเขาคือ ลู เพิร์ลแมน ในที่สุดพวกเขาก็ได้เซ็นสัญญากับไจฟ์เรคคอร์ด[9] ออกผลงานหลังจากการรอคอยอันยาวนาน คืออัลบั้มชุด No Strings Attached ในเดือนมีนาคม 2000 ที่สร้างสถิติมียอดขายสัปดาห์แรกด้วยยอดขาย 2.4 ล้านชุดเร็วที่สุดในสัปดาห์แรกตลอดกาล[10] และมีเพลงซิงเกิลอันดับ 1 อย่างเพลง It's Gonna Be Me หลังจากนั้นออกอัลบั้มที่ 3 ชื่อชุด Celebrity ที่สร้างสถิติอัลบั้มที่มียอดขายเร็วที่สุดเป็นอันดับ 2 ตลอดกาล ต่อมาในปี 2002 หลังจากจบทัวร์ Celebrity Tour และหลังออกซิงเกิล Girlfriend ซิงเกิลที่ 3 จากอัลบั้ม พวกเขาตัดสินใจที่จะหยุดงาน จากจุดนี้เองทิมเบอร์เลกเริ่มต้นงานการทำอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง หลังจากนั้นวงก็แยกย้ายกันไป ในประวัติการทำงานของวงเอ็นซิงก์พวกเขามีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ แสดงบนเวทีรางวัลออสการ์[11] โอลิมปิก[12] และซูเปอร์โบว์ล[13] รวมถึงมียอดขายอัลบั้มมากกว่า 50 ล้านชุดทั่วโลก[14] ถือเป็นวงบอยแลนด์ที่มียอดขายมากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในประวัติศาสตร์.[15]

ในปลายปี 1999 ทิมเบอร์เลกเริ่มมีผลงานการแสดงครั้งแรกทางช่องดิสนีย์ กับภาพยนตร์เรื่อง Model Behavior ที่เขารับบทเป็นเจสัน ชาร์ป นายแบบที่ตกหลุมรักสาวเสิร์ฟหลังจากเข้าใจผิดว่าเธอเป็นนางแบบ ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2000[16]

ในฐานะสมาชิกวงเอ็นซิงก์ ทิมเบอร์เลกพัฒนาตัวเองสู่ศิลปินด้วยตัวของเขาเอง ทั้งทางด้านดนตรี นักแต่งเพลง ผู้ช่วยแต่งเพลง โดยเฉพาะ 3 ซิงเกิลในอัลบั้มชุด Celebrity แต่จากความโดดเด่นของเขาเองและความตกต่ำของบอยแบนด์ ทำให้จุดเกิดเปลี่ยนในการแยกวงไป ถึงแม้ว่าทางวงจะไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่ายุบวงก็ตาม โดยสมาชิกในวงอย่าง แลนซ์ เบสส์ออกมาพูดว่า เขาเชื่อว่าวงจบลงไปแล้ว[17] อย่างไรก็ตามคริส เคิร์กแพทริกเคยพูดในเดือนสิงหาคม 2008 ว่า ทั้ง 5 คนยังคงเป็นเพื่อนกันและเขาเชื่อว่าการรวมตัวกันอีกครั้งยังมีความเป็นไปได้[18] และต่อมาต้นเดือนกันยายน เบสส์ก็พูดออกมาทำนองเดียวกัน[19]

Justified

ผลงานอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก Justified ออกขายเมื่อ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2002 โดยได้โชว์เพลงครั้งแรกบนเวที เอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส ตัวอัลบั้มประสบความสำเร็จพอสมควร มียอดขาย 3 ล้านในอเมริกา และ 7 ล้านทั่วโลก ในอัลบั้มนี้มีเพลงดังอย่าง Like I Love You" ที่ร่วมงานกับ The Neptunes และ Timbaland นอกจากนั้นยังมีเพลงติดท้อป 5 อย่าง "Cry Me a River" and "Rock Your Body"ในปี 2003 จัสตินได้ร่วมร้องคอรัสในเพลง "Where Is The Love?" ให้วงแบล็ค อายด์ พีส์ และได้ร่วมแสดงเพลงนี้ครั้งแรกในเวที เอ็มทีวี ยุโรป มิวสิก อวอร์ดส

เพลง "I'm Lovin' It." ถูกใช้ในแคมเปญของ McDonald

เดือนกุมภาพันธ์ 2004 เกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับเสื้อผ้าในการแสดงของจัสติน และ เจเน็ท แจ็คสัน‎ ในช่วงพักงานซูเปอร์โบวล์จัสติน มีส่วนร่วมกับงานภาพยนตร์ โดยได้ปรากฏตัวในหนังเรื่อง Alpha Dog, Black Snake Moan, Richard Kelly's Southland Tales และยังพากย์เสียงการ์ตูนเรื่อง Shrek the Third เป็น King Arthur ตอนหนุ่มนอกจากนั้นจัสตินยังได้แสดงในมิวสิกวิดีโอ "This Train Don't Stop There Anymore" ของเอลตัน จอห์น

จัสตินได้กลับมาร่วมงานกับแบล็ค อายด์ พีส์ อีกครั้งในอัลบั้มชุด Monkey Business เพลง "My Style" และยังได้ร่วมงานกับเนลลี่ เพลง "Work It"ปี 2005 ยังได้ร่วมงานกับ Snoop Dogg เพลง "Signs" ฤดูร้อน ปี 2005 จัสตินเปิดค่ายเพลง JayTee Records

Futuresex/Lovesounds

คอนเสิร์ตที่ St.Paul,มินเนโซต้า

ปี 2006 ออกอัลบั้มชุดที่ 2 ‘Futuresex/Lovesounds’ อัลบั้มชุดนี้โปรดิวซ์โดย ทิมบาแลนด์, วิล.ไอ.แอม (แห่ง Black Eyed Peas’), Rick Rubin และตัวจัสติน เอง ได้ศิลปินรับเชิญได้แก่ สนูป ด็อกก์ , ทรีซิกซ์มาเฟีย , ที.ไอ. และ เนลลี เฟอร์ทาโด (ที่ไปปรากฏตัวเป็นสีสันใน MV เพลง ‘Promiscous’ ของเธอ)

ซิงเกิลแรก ‘SexyBack’ (โปรดิวซ์โดย Timbaland) มันเป็นซิงเกิลแห่งการกลับมาของ Justin และเป็นการกลับมาที่ทุกคนพูดถึง เสียงร้องในเพลงนี้แตกต่างจากงานยุคแรกๆ ของจัสติน โดยใช้เอฟเฟ็คของไมโครโฟนและ vocal edit effect ก็ขึ้นอันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ทซิงเกิลเป็นเวลา 7 สัปดาห์ และตามมาด้วยเพลงอันดับ 1 เพลงที่ 2 คือเพลง My Love

11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 จัสตินได้รับ 2 รางวัลแกรมมี่ในสาขาบันทึกเสียงเพลงแด๊นซ์ยอดเยี่ยม (เพลง SexyBack) และ รางวัลสาขาร่วมแสดงประเภทเพลงแร๊พยอดเยี่ยม ( เพลง My Love ร่วมกับ T.I.) [20]

ซิงเกิลที่ 3 เพลง What Goes Around...Comes Around ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกา และเพลง Give It to Me ที่จัสติน ร่วมงานกับ Timbaland และ Nelly Furtado ก็สามารถขึ้นอันดับในอเมริกา

เดือนกันยายน 2007 จัสตินคว้ารางวัลไปถึง 4 รางวัล ในงานเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส จากสาขา ศิลปินชายแห่งปี (Male Artist of the Year),ศิลปินความสามารถรอบด้านแห่งปี (Quadruple Threat of the Year),ผู้กำกับยอดเยี่ยม (Best Director) และ ถ่ายภาพยอดเยี่ยม (Best Choreography in a Video) ไปได้[21]

ในปี 2008 จัสติน ยังร่วมร้องเพลงกับมาดอนน่า ในซิงเกิล "4 Minutes" ซึ่งเป็นซิงเกิลแรกในอัลบั้มที่ 11 ของมาดอนน่า[22]

บทบาทการแสดง

จัสตินเคยแสดงเป็นนักข่าว จอร์จ พอลแล็ค ในเรื่อง Edison ซึ่งได้เป็นแค่หนัง DVD ของทางสหรัฐอเมริกาแต่ในประเทศไทยมีการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

จัสติน ทิมเบอร์เลกยังร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์ 3 เรื่อง ในปี 2007 ซึ่งรวมถึงเรื่อง “Shrek 3” ด้วย ทิมเบอร์เลกยังเคยได้รับคำชมมาแล้วในภาพยนตร์ดราม่าของยูนิเวอร์แซล เรื่อง “Alpha Dog” ที่เขาร่วมแสดงกับเอมิล เฮิร์สช์, บรูซ วิลลิส และชารอน สโตน ต่อมา เขาได้แสดงนำในภาพยนตร์ของพาราเม้าต์ แวนเทจ เรื่อง “Black Snake Moan” โดยเขาร่วมแสดงกับคริสติน่า ริคชี่ และซามวล แอล แจ็คสัน ในปีนี้ ทิมเบอร์เลกจะมีผลงานร่วมแสดงกับดเวย์น จอห์นสัน, ฌอนน์ วิลเลี่ยม สก็อตต์, ซาร่าห์ มิเชลล์ เกลลาร์ และแมนดี้ มัวร์ ในภาพยนตร์เรื่อง “Southland Tales” และหนังที่จะฉายในปี 2008 นี้ก็เป็นหนังแนวตลก เรื่อง "The Love Guru" ของพาราเม้าท์ ที่เป็นการกำกับเต็มตัวเรื่องแรกของมาร์โก ชนาเบล (เคยเป็นผู้กำกับกองสองของ Austin Power in Goldmember)นำแสดงโดย ไมค์ ไมเยอร์ส ในบทของพิตก้า กูรูผู้เชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาชีวิตคู่ ร่วมด้วยจัสติน ทิมเบอร์เลก และ เจสสิกา อัลบาร์ [23]

แหล่งที่มา

WikiPedia: จัสติน_ทิมเบอร์เลก http://www.accesshollywood.com/access-exclusive-la... http://www.allbusiness.com/services/motion-picture... http://www.allmusic.com/artist/nsync-p291150 http://www.askmen.com/men/entertainment_60/98_just... http://popwatch.ew.com/2012/05/19/facebook-ipo-mar... http://www.ew.com/ew/article/0,,275632,00.html http://www.ew.com/ew/article/0,,92497,00.html http://www.filmreference.com/film/83/Justin-Timber... http://www.genealogue.com/2006/08/justin-timberlak... http://www.geocities.com/Hollywood/Theater/6696/00...