ความสัมพันธ์กับสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาในอิตาลี ของ จิตรกรรมเนเธอร์แลนด์เริ่มแรก

"ฉากแท่นบูชาพอร์ตินาริ" ราวปี ค.ศ. 1475 โดยฮือโค ฟัน เดอร์คุส (หอศิลป์อุฟฟีซี) เขียนที่บรูชสำหรับโทมัสโซ พอร์ตินาเล (Tommaso Portinari) และนำไปฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 1483

ลักษณะการเขียนใหม่เกิดขึ้นในฟลานเดอส์เกือบในเวลาเดียวกับการเริ่มสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาในอิตาลี งานของช่างเขียนจากทางเหนือเป็นที่นิยมกันมากในอิตาลีและมีอิทธิพลต่อจิตรกรรมในอิตาลีมากกว่าอิทธิพลของจิตรกรรมอิตาลีที่มีต่อฟลานเดอส์ในคริสต์ศตวรรษที่ 15[4] ตัวอย่างเช่นงาน "ฉากแท่นบูชาพอร์ตินาริ" ของฮือโค ฟัน เดอร์คุส ที่มีบทบาทสำคัญในการแนะนำให้จิตรกรฟลอเรนซ์ได้เห็นแนวการเขียนจากทางยุโรปตอนเหนือ จิตรกรเช่นอันโตเนลโล ดา เมสสินาอาจจะได้รับอิทธิพลของจิตรกรเนเธอร์แลนด์เมื่อได้ไปทำงานที่ซิซิลี, เนเปิลส์ และต่อมาเวนิส แต่จิตรกรสมัยเนเธอร์แลนด์เริ่มแรกมิได้ไม่มีความกระทบกระเทือนจากความเปลี่ยนแปลงทางศิลปะจากทางใต้ของเทือกเขาแอลป์มากนัก เช่นยัน ฟัน ไอก์ผู้อาจจะเดินทางไปอิตาลีราวปี ค.ศ. 1426 ถึงปี ค.ศ. 1428 การเดินทางที่มีผลต่องานเขียน "ฉากแท่นบูชาเกนต์" และความสำคัญของเมืองทางนานาชาติเช่นบรูชหมายถึงทั้งการเผยแพร่งานจิตรกรรมและการรับอิทธิพลจากต่างประเทศที่ทะลักเข้ามาด้วย[4][5]

ศิลปะคริสต์ศาสนา—การตกแต่งวัดหรือการเขียนฉากแท่นบูชาสำหรับคริสต์ศาสนสถานหรือสำหรับการสักการะส่วนตัวเป็นต้น—ยังเป็นหัวเรื่องของการเขียนภาพที่เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายทั้งในสมัยเนเธอร์แลนด์เริ่มแรกและสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาในอิตาลี แต่บทบาทของเรอเนสซองซ์มนุษย์นิยมไม่มีอิทธิพลมากทางยุโรปตอนเหนือเท่ากับในอิตาลี อิทธิพลของภายในท้องถิ่นเช่นเดโวติโอ โมเดอร์นา (Devotio Moderna) มีอิทธิพลที่เห็นได้ชัดกว่าและมีอิทธิพลต่อหัวเรื่องที่วาดและการวางภาพในงานเขียนต่าง ๆ ตัวอย่างเช่นการเน้นความทรมานของพระเยซูซึ่งเป็นหัวเรื่องที่นิยมกันมากกว่า

เช่นเดียวกับฟลอเรนซ์ที่การธนาคารและการค้านำมาซึ่งการจ้างงานเขียนส่วนตัว พ่อค้าที่มั่งคั่งว่าจ้างงานเขียนทางศาสนาสำหรับการสักการะส่วนตัวที่มักจะรวมภาพของตัวเองและครอบครัวภายในภาพที่เรียกว่าภาพเหมือนผู้อุทิศ และภาพเหมือนตนเองที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา นอกจากนั้นการที่มีราชสำนักเบอร์กันดีของผู้ปกครองเบอร์กันดีเนเธอร์แลนด์อยู่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อาชีพการเป็นช่างเขียนประจำสำนักรุ่งเรืองขึ้น นอกจากนั้นจิตรกรก็ยังรู้ฐานะของตนเองในสังคมว่าเป็นที่นับถือและเริ่มลงชื่อในภาพเขียนบ่อยขึ้น, วาดภาพเหมือนตนเอง และกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงด้วยความสามารถที่มาจากการเป็นจิตรกรเท่านั้น

สิ่งหนึ่งที่ศิลปะทางยุโรปตอนเหนือในยุคนี้ต่างจากในอิตาลีคืออิทธิพลของศิลปะกรีกโรมันที่มีน้อยกว่าจนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จึงได้เข้ามาอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงทางสถาปัตยกรรม, ประติมากรรม และปรัชญาในอิตาลีมิได้เกิดขึ้นในเนเธอร์แลนด์ ความเปลี่ยนแปลงในเนเธอร์แลนด์จำกัดอยู่แต่เพียงจิตรกรรม[1] สถาปัตยกรรมกอทิกยังเป็นที่นิยมกันจนตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 16

บรูชลดความสำคัญในการเป็นศูนย์กลางของศิลปะราว ค.ศ. 1500 ขณะที่ความสำคัญแอนต์เวิร์ปเพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่จิตรกรเรียกว่าจิตรกรแมนเนอริสต์แอนต์เวิร์ป แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไม่ทราบนามและมีบทบาทระหว่างประมาณ ค.ศ. 1500 ถึง ค.ศ. 1530 แต่ก็เป็นกลุ่มที่ทำให้จิตรกรรมเนเธอร์แลนด์เริ่มแรกสิ้นสุดลงและเริ่มศิลปะยุคต่อไป ที่เรียกว่าเป็นนักแมนเนอริสต์แอนต์เวิร์ปก็เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจากอิตาลี แม้ว่าจะใช้อิทธิพลอิตาลีในงานเขียนแต่ก็ยังได้ชื่อว่ามีลักษณะกอทิกกระเส็นกระสายตามธรรมเนียมการเขียนในคริสต์ศตวรรษก่อนหน้านั้น[6]

ใกล้เคียง

จิตรกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาในอิตาลี จิตรกรรมฝาผนัง จิตรกรรมยุคทองของเนเธอร์แลนด์ จิตรกรรมบารอกแบบเฟลมิช จิตรกรรม จิตรกรรมไทยประเพณี จิตรกรรมแผง จิตรกรรมไทย จิตรกรรมเนเธอร์แลนด์เริ่มแรก จิตรกรรมสีน้ำมัน