การแสดง ของ จิม_แคร์รีย์

ช่วงเริ่มต้น

การแสดงตลกของจิม แคร์รีย์ บนเวทีได้รับความสนใจและเริ่มเป็นที่ชื่นชอบ จนได้รับคำชมเชยจากนักสือพิมพ์โตรอนโต สตาร์ ก่อนที่การแสดงของเขาจะไปสะดุดตา รอดนี แดนเจอร์ฟิลด์ นักแสดงตลกชื่อดัง โดยแดนเจอร์ฟิลด์ได้ให้จิม แคร์รีย์ มาแสดงเปิดในการแสดงของเขาบนเวที และต่อมาได้ชักชวนให้ไปแสดงร่วมกันที่เมืองลาส เวกัส สหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามจิม แคร์รีย์ ตัดสินใจย้ายไปแสวงหาโชคจากการเล่นตลกที่ฮอลลีวูดแทน โดยเขาได้งานแสดงตลกที่ เดอะ คอมเมดี สโตร์ ซึ่งเป็นคลับในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย

ต่อมา จิม แคร์รีย์ ได้ให้ความสนใจในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์จึงไปสมัครออดิชั่นเพื่อเข้าร่วมในรายการแซตเทอร์เดย์ ไนต์ ไลฟ์ ใน พ.ศ. 2523 แต่ไม่ผ่านการคัดเลือก ก่อนที่ในปีต่อมาเขาจะได้แสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในฐานะตัวประกอบของภาพยนตร์แคนาดาเรื่อง All in Good Taste แต่เมื่อถ่ายทำเสร็จกลับไม่ได้เข้าฉาย (ภายหลังภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำกลับมาฉายในโรงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2526)

ในปี พ.ศ. 2526 เขาได้รับบทบาทนักแสดงนำเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Copper Mountain และยังได้แสดงในภาพยนตร์ที่ออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่องซีบีซีของประเทศแคนาดาในเรื่อง Introducing Janet (ภายหลังเมื่อจิม แคร์รีย์มีชื่อเสียง ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำกลับมาผลิตและจำหน่ายในรูปแบบวิดีโอเทปและเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น Rubber Face โดยในประเทศไทยใช้ชื่อว่า วัยหวาน สู้เพื่อฝัน)

จากนั้นในปี พ.ศ. 2527 เขาได้แสดงในละครโทรทัศน์แนวซิตคอมที่ออกอากาศผ่านทางบริษัทการกระจายเสียงและแพร่ภาพแห่งชาติ (เอ็นบีซี) ของสหรัฐอเมริกา เรื่อง The Duck Factory และหลังจากที่ละครโทรทัศน์เรื่องดังกล่าวจบลง เขาได้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Once Bitten ในปี พ.ศ. 2528 ก่อนจะได้รับบทบาทตัวประกอบในภาพยนตร์ที่กำกับโดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา เรื่อง รักนั้น หากเลือกได้ (Peggy Sue Got Married) ที่นำแสดงโดยนิโคลัส เคจ ในปี พ.ศ. 2529 จากนั้นได้รับบทเป็นดาราติดยาในภาพยนตร์ของคลิ้นต์ อีสต์วู้ดเรื่อง โพยสั่งตาย (The Dead Pool) ในปี พ.ศ. 2531

จิม แคร์รีย์ ได้รับบทเด่นในภาพยนตร์เรื่อง Earth Girls Are Easy (พ.ศ. 2532) ที่แสดงร่วมกับเจฟ โกลบลูม และจีนา เดวิส แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก จนกระทั่งในปีต่อมาเขาหันกลับไปเล่นละครแนวซิตคอมทางโทรทัศน์อีกครั้งในเรื่อง In Living Color ที่ออกอากาศทางสถานีฟ็อกซ์นานถึง 4 ปี และได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้จิม แคร์รีย์ เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักแสดงตลก

โด่งดัง

จากบทบาทการแสดงของเขาในซิตคอมเรื่อง In Living Color ทำให้ในปี พ.ศ. 2537 เขาได้แสดงนำในภาพยนตร์ระดับฮอลลีวู้ดเป็นครั้งแรกในเรื่อง เอซ เวนทูร่า นักสืบซูเปอร์เก๊ก (Ace Ventura:Pet Detective) ของค่ายวอร์เนอร์บราเธอร์ส และยังได้แสดงนำเรื่อง ใครว่าเราแกล้งโง่ หือ? (Dumb and Dumber) รวมถึงเรื่อง หน้ากากเทวดา (The Mask) ของค่ายนิวไลน์ซินีมา ที่ออกฉายในปีเดียวกัน ซึ่งนับว่าภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยสามารถทำรายได้รวมกันมากถึง 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปี พ.ศ 2538 เขาได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ที่กำกับโดยโจเอล ชูมาเกอร์ อย่าง แบทแมน ฟอร์เอฟเวอร์ ศึกจอมโจรอมตะ โดยเขารับบาทเป็นริดเลอร์ตัวละครวายร้าย ที่ต้องต่อกรกับแบทแมน และในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้แสดงภาพยนตร์ภาคต่อของเอซ เวนทูร่า อย่าง เอซ เวนทูร่า 2:ซูเปอร์เก๊กกวนเทวดา (Ace Ventura :When Nature Calls) ซึ่งได้รับคำชมเชยและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเมื่อทำรายได้ถึง 212 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

จิม แคร์รีย์ ได้มีโอกาสแสดงในภาพยนตร์แนวตลกร้ายหรือ Black Comedy ที่กำกับโดยเบน สติลเลอร์เรื่อง เป๋อ จิตไม่ว่าง (The Cable Guy) ในปี พ.ศ. 2539 โดยเขาแสดงเป็นช่างติดเคเบิลโทรทัศน์ที่มีบุคลิกเป็นคนเก็บกด, ขี้เหงาและไร้เพื่อน ซึ่งหวังจะใช้ลูกค้าของเขา (แสดงโดยแมททิว บรอเดริก) มาเติมเต็มชีวิตในส่วนที่ขาด ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการแสดงบทบาทตลกที่ต่างไปจากเรื่องก่อนๆที่เขาเคยแสดง ทำให้ทำรายได้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับเรื่องก่อนๆที่เขาเคยเล่น โดยทำรายได้ทั่วโลกไปเพียง 102 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามเขาได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เป็นครั้งแรก โดยใช้เพลง Somebody to Love ซึ่งต้นฉบับเดิมเป็นงานเพลงของวง Jefferson Airplane

ปี พ.ศ. 2540 เขาได้แสดงในเรื่อง ขี้จุ๊ เทวดาฮากลิ้ง (Liar Liar) ซึ่งรับบทเป็นทนายความที่เคยชินกับการโกหกทุกๆคนรอบตัว แต่กลับต้องพบกับสภาวะที่ไม่สามารถโกหกได้เป็นเวลา 1 วันจากพรที่ลูกชายของเขาขอในวันเกิด นำมาซึ่งเรื่องราวยุ่งยากต่างๆมากมาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จและทำให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำในฐานะนักแสดงชายยอดเยี่ยม

ประสบความสำเร็จ

จิม แคร์รีย์ ได้แสดงนำในภาพยนตร์ตลกแนวเสียดสีเรื่อง ชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมน โชว์ ในปี พ.ศ. 2541 ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มทีวีมูวีอะวอดส์ในฐานะนักแสดงชายยอดเยี่ยม และได้รับรางวัลลูกโลกทองคำเป็นครั้งแรกในฐานะ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทดรามา อีกทั้งยังประสบความสำเร็จทางรายได้เมื่อทำรายได้ทั่วโลกมากกว่า 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทุนสร้างเพียง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่เขาจะคว้ารางวัลนี้ได้เป็นสมัยที่ 2 ในฐานะ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลก จากการแสดงนำในภาพยนตร์ชีวประวัติของแอนดี คอฟแมน เรื่อง ดังก็ดังวะ (Man on the Moon) ในปี พ.ศ. 2542

แหล่งที่มา

WikiPedia: จิม_แคร์รีย์ http://www.filmreference.com/film/1/Jim-Carrey.htm... http://www.hitfix.com/blogs/whats-alan-watching/po... http://www.jimcarrey.com/ http://www.movieline.com/1994/07/carreyd-away.php?... http://arts.nationalpost.com/2013/04/12/jonathan-w... http://www.thewire.com/entertainment/2013/12/defin... http://www.usatoday.com/life/2003-05-20-carrey_x.h... http://www.usaweekend.com/03_issues/030525/030525c... http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?ne...