ประวัติ ของ จูดิธ_เลย์สเตอร์

เลย์สเตอร์ฮาร์เล็มในประเทศเนเธอร์แลนด์[1] เป็นลูกหนึ่งในแปดคนของยาน วิลเล็มสซ์ เลย์สเตอร์ผู้มีอาชีพกลั่นเบียร์และทอผ้า รายละเอียดของการศึกษาไม่ทราบแน่นอน แต่ในวัยรุ่นเลย์สเตอร์ก็มีความสามารถพอที่จะได้รับการกล่าวถึงหนังสือ “Beschrijvinge ende lof der stadt Haerlem” (ค.ศ. 1621) ที่เขียนโดยซามูเอล แอมพ์ซิง ที่เดิมเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1621 และมาปรับปรุงในปี ค.ศ. 1626-1627 และตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1628

“The Happy Couple” โดย เลย์สเตอร์ ค.ศ. 1630 (พิพิธภัณฑ์ลูฟร์)

ในปี ค.ศ. 1633 เลย์สเตอร์ก็เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมเซนต์ลูค ซึ่งเป็นเพียงสมาชิกสตรีหนึ่งในสองคนที่ได้รับเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ภายในสองปีหลังจากนั้นเลย์สเตอร์ก็มีลูกศิษย์ฝึกงานเป็นชายสามคน จากหลักฐานทางเอกสารเลย์สเตอร์ฟ้องฟรันส์ ฮาลส์ว่าขโมยลูกศิษย์ไปคนหนึ่ง แม่ของลูกศิษย์จ่ายค่าเสียหายให้เลย์สเตอร์ 4 กิลเดอร์เพียงครึ่งหนึ่งของที่เรียกร้อง และแทนที่จะคืนลูกศิษย์ให้ฮาลส์ก็ยอมเสียค่าปรับ 3 กิลเดอร์ แต่เลย์สเตอร์เองก็ถูกปรับในฐานะที่ไม่ได้ลงทะเบียนลูกศิษย์ไว้กับสมาคม

ในปี ค.ศ. 1636 เลย์สเตอร์สมรสกับยาน มีนเซอ โมเลเนอร์ผู้เป็นจิตรกรผู้มีผลงานมากแต่มีความสามารถด้อยกว่า เลย์สเตอร์กับสามีย้ายอัมสเตอร์ดัมไปเพื่อไปหาช่องทางทางงานอาชีพที่ดีกว่า สองสามีภรรยาไปอยู่ได้สิบเอ็ดปีมีบุตรธิดาด้วยกันห้าคนแต่เพียงสองคนเท่านั้นที่รอดชีวิตมาจนโต ต่อมาก็ย้ายไปอยู่ที่ฮีมสเตดและไปเสียชีวิตที่นั่นในปี ค.ศ. 1660 เมื่ออายุได้ 50 ปี

งานเขียนส่วนใหญ่ของเลย์สเตอร์เขียนระหว่างปี ค.ศ. 1629 ถึงปี ค.ศ. 1635 ก่อนที่จะมีบุตรธิดา เท่าที่ทราบก็มีงานเขียนเพียงสองชิ้นเท่านั้นที่เขียนหลังปี ค.ศ. 1635 ที่เป็นภาพประกอบสองภาพสำหรับหนังสือเกี่ยวกับดอกทิวลิปที่เขียนในปี ค.ศ. 1643 และภาพเหมือนที่เขียนในปี ค.ศ. 1652


“Serenade”, ค.ศ. 1629 (พิพิธภัณฑ์แห่งชาติแห่งอัมสเตอร์ดัม)

แม้ว่าจะเป็นจิตรกรผู้มีชื่อเสียงและเป็นผู้ที่ได้รับความนับถือจากผู้ร่วมสมัยในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่งานของเลย์สเตอร์ก็ถูกลืมกันไปหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว และมาได้รับการรื้อฟื้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 1893 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ซื้อภาพที่เชื่อกันว่าเขียนโดยฟรันส์ ฮาลส์แต่กลับพบว่าเป็นภาพที่เขียนโดยเลย์สเตอร์ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ตั้งแต่นั้นมามักจะถือว่าเลย์สเตอร์เป็นจิตรกรที่เขียนงานลอกเลียนแบบหรือผู้ที่เขียนตามแบบฟรันส์ ฮาลส์ แต่ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาทัศนคติดังว่าก็เริ่มจะเปลี่ยนไป