รุ่นต่างๆ ของ ซีเอช-47_ชีนุก

ซีเอช-47เอ

เดิมทีเป็นรุ่นขนาดกลางที่มีเครื่องยนต์ไลคอมมิ่ง ที55-แอล-5 ที่ให้กำลัง 2,200 แรงม้า แต่ถูกแทนที่ด้วยที-55-แอล-7 ที่ให้กำลัง 2,650 แรงม้าหรือที-55-แอล-7ซีที่ให้กำลัง 2,850 แรงม้าแทน ซีเอช-47เอถูกใช้ในกองทัพสหรัฐเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2505 โดยสร้างออกมาทั้งสิ้น 349 ลำ

เอซีเอช-47เอ

เดิมทีรู้จักกันในชื่อ Armed/Armored CH-47A มันได้รับชื่ออย่างเป็นทางการว่าเอซีเอช-47เอโดยกองทัพสหรัฐ ย่อมาจาก Attack Cargo Helicopter (เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงโจมตี) มีซีเอช-47เอสี่ลำที่ถูกดัดแปลงให้เป็นรุ่นดังกล่าวโดยบริษัทโบอิงเวอร์ทอลเมื่อปีพ.ศ. 2508 มีสามลำที่ถูกส่งเข้ากองทัพเพื่อทำการทดสอบในเวียดนาม โดยอีกหนึ่งลำถูกนำไปทดสอบด้านอาวุธในสหรัฐ ในปีพ.ศ. 2511 มันก็เหลือเพียงหนึ่งลำและต่อมาโครงการก็ถูกยกเลิกไป

เอซีเอช-47เอมีปืนกลเอ็ม60ดีขนาด 7.62x51 ม.ม.หรือเอ็ม-2เอชบี ขนาด .50 คาลิเบอร์ ปืนใหญ่อากาศเอ็ม24เอ1 ขนาด 20 ม.ม.สองกระบอก เครื่องยิงจรวดมาร์ก 4 เก้าท่อสองเครื่องหรือกระเปาะปืนเอ็ม18เอ1 ขนาด 7.62x51 ม.ม.สองกระเปาะ และปืนยิงลูกระเบิดเอ็ม75 ขนาด 40 ม.ม.หนึ่งกระบอก ลำสุดท้ายที่เหลืออยู่ถูกนำไปแสดงในคลังแสงเรดสโตนในรัฐแอลละบามา[12][13][14]

ซีเอช-47บี

เป็นรุ่นแก้ไขในขณะที่ทางโบอิงกำลังทำการพัฒนารุ่นซีขึ้นมา รุ่นบีมีเครื่องยนต์ไลคอมมิ่ง ที55-แอล-7ซีที่ให้กำลัง 2,850 แรงม้าสองเครื่องยนต์ มันมีจุดเด่นที่ใบพัดส่วนหลังและลำตัว มันสามารถติดตั้งปืนกลเอ็ม60ดีไว้ที่ทั้งสองประตูและที่ทางลาดท้ายลำได้อีกด้วย บางลำมีแก๊สน้ำตาหรือนาปาล์ม รุ่นบีสามารถติดตั้งรอกและตะขอได้ ชีนุกได้พิสูจน์ว่ามีประโยชน์ในการขนย้ายอากาศยาน มันได้ช่วยเครื่องบินไว้ 12,000 ลำคิดเป็นมูลค่า 3,600 ล้านดอลลาร์ในสงคราม พวกมันถูกผลิตออกมา 108 ลำ

ซีเอช-47ซี

รุ่นซีมีเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่ทรงพลังกว่า[15] มันถูกสร้างออกมาสามลำ ลำแรกใช้เครื่องยนต์ไลคอมมิ่ง ที55-แอล-7ซีที่ให้กำลัง 2,850 แรงม้า รุ่นซูเปอร์ซีใช้เครื่องยนต์ไลคอมมิ่ง ที55-แอล-11 ที่ให้กำลัง 3,750 แรงม้าและมีน้ำหนักรวม 21,000 กิโลกรัมรวมทั้งระบบเพิ่มความเสถียร เนื่องมาจากความยุ่งยากของเครื่องยนต์ ที55-แอล-11 ซึ่งถูกรีบนำเข้าสงคราม พวกมันจึงถูกนำออกชั่วคราวในปีพ.ศ. 2513 และแทนที่ด้วยที55-แอล-7ซีแทนจนกระทั่งเครื่องยนต์แบบเดิมถูกแก้ไข รุ่นเอ บี และซีนั้นไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติให้พลเรือนใช้งานเพราะการทำงานของระบบเพิ่มกำลังไฮดรอลิก ระบบที่ถูกออกแบบใหม่ถูกใส่เข้าไปในรุ่นดีจนได้รับการรับรองและมีชื่อว่าโบอิง โมเดล 243 รุ่นซีถูกสร้างออกมา 233 ลำ

รุ่นเอ บี และซีถูกใช้อย่างกว้างขวางในสงครามเวียดนาม พวกมันเข้ามาแทนที่เอช-21 ชอว์นีในบทบาทเข้าสนับสนุนการโจมตี

กองทัพอากาศอังกฤษมีรุ่นซีที่เรียกว่าชีนุก เอชซี1 รุ่นส่งออกของรุ่นซีของอิตาลีมีชื่อว่าซีเอช-47ซี พลัส

ซีเอช-64ดี

ซีเอช-64ดีเดิมทีใช้เครื่องยนต์ที55-แอล-712 สองเครื่องยนต์ แต่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันหันมาใช้ที55-จีเอ-714เอแทน รุ่นเอ บี และซีทั้งหมดใช้โครงสร้างเหมือนกันหมด แต่ในรุ่นต่อๆ มาจะมีจุดเด่นที่เครื่องยนต์ ด้วยระบบตะขอสินค้าของมัน รุ่นดีจึงสามารถบรรทุกสินค้าภายในได้ถึง 26,000 ปอนด์ เช่น รถไถและตู้สินค้าขนาด 40 ฟุต รุ่นดีถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปีพ.ศ. 2522 ในปฏิบัติการจู่โจมทางอากาศมันมักทำหน้าที่เป็นพาหนะลำเลียงปืนใหญ่เอ็ม198 ฮาวไอเซอร์ ขนาด 155 ม.ม.พร้อมกระสุนอีก 30 นัด และลูกเรืออีก 11 นาย นอกจากนี้มันยังมีระบบจีพีเอสอีกด้วย

รุ่นดีของกองทัพบกเกือบทั้งหมดถูกดัดแปลงมาจากรุ่นเอ บี และซี ซึ่งมีทั้งสิ้น 472 ลำที่ถูกดัดแปลงเป็นรุ่นดี รุ่นดีลำสุดท้ายถูกส่งมอบให้กับกองกำลังสำรองสหรัฐในรัฐเท็กซัสเมื่อต้นปีพ.ศ. 2545[16]

กองทัพอากาศอังกฤษมีรุ่นดีที่เรียกว่าชีนุก เอชซี2 และเอชซี2เอ รุ่นเอสดีเป็นรุ่นดัดแปลงของรุ่นดีโดยมีถังเชื้อเพลิงใหญ่ขึ้นและความจุสินค้าที่มากกว่าเดิม มันถูกใช้โดยกองทัพอากาศสาธารณรัฐสิงคโปร์ กองทัพบกกรีซ และสาธารณรัฐประชาชนจีน รุ่นดีจีเป็นรุ่นพัฒนาของรุ่นซีสำหรับกองทัพกรีซ

เอ็มเอช-47ดี

เอ็มเอช-47ดีของสหรัฐที่กำลังรับยาในอัฟกานิสถาน

เอ็มเอช-47ดีถูกพัฒนาขึ้นสำหรับหน่วยรบพิเศษและสามารถเติมเชื้อเพลิงทางอากาศได้ มันมีระบบโรยตัวและการพัฒนาอื่นๆ เอ็มเอช-47ดีถูกใช้โดยกองบินปฏิบัติการพิเศษที่ 160 ของสหรัฐ มีเอ็มเอช-47ดี 12 ลำที่ถูกสร้างขึ้นมา มีหกลำที่ดัดแปลงมาจากรุ่นเอและอีกหกลำดัดแปลงมาจากรุ่นซี.[17]

เอ็มเอช-47อี

เป็นรุ่นที่ปัจจุบันใช้โดยกองกำลังพิเศษของสหรัฐ มันเริ่มจากต้นแบบที่ผลิตออกมาในปีพ.ศ. 2534 โดยมีเพียง 26 ลำเท่านั้น ทั้งหมดถูกส่งมอบให้กับหน่วยพิเศษที่เรียกว่า"ไนท์สตอลเกอร์ส" (Nightstalkers) ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่ป้อมแคมป์เบลล์ในรัฐเคนตักกี้ รุ่นอีถูกดัดแปลงมาจากรุ่นซี เอ็มเอช-47อีนั้นมีความคล้ายคลึงกับเอ็มเอช-47ดี แต่ต่างกันที่มันมีถังเชื้อเพลิงที่เหมือนกับซีเอช-47เอสดีและมีเรดาร์หลบหลีกภูมิประเทศ[18]

ใรปีพ.ศ. 2538 กองทัพอากาศอังกฤษได้สั่งซื้อชีนุก เอชซี3 8 ลำ มันเป็นรุ่นที่มีราคาถูกกว่าเอ็มเอช-47อีสำหรับปฏิบัติการพิเศษ พวกมันถูกส่งมอบในปีพ.ศ. 2544 แต่ไม่เคยเข้าประจำการเนื่องมาจากปัญหาเรื่องระบบอิเลคทรอนิกอากาศที่ไม่เหมาะสม ในปีพ.ศ. 2551 เริ่มมีการลดระดับเอชซี3 ลงให้เป็นเอชซี2 ทำให้พวกมันเข้าประจำการได้ในที่สุด[19]

ซีเอช-47เอฟ

รุ่นเอฟนั้นพัฒนามาจากรุ่นดีโดยทำการบินครั้งแรกในปีพ.ศ. 2544 รุ่นแรกในสายการผลิตเปิดตัวในวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่โรงงานโบอิงในรัฐเพนซิลวาเนียโดยทำการบินครั้งแรกในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2549[20] รุ่นเอฟถูกออกแบบมาให้มีอายุการใช้งานที่มากขึ้นไปจนถึงปีพ.ศ. 2573 ในการพัฒนาทั้งหมดมีเครื่องยนต์ฮันนีเวลล์ที่ให้กำลัง 4,868 แรงม้า ระบบอิเลคทรอนิกอากาศ และโครงสร้างที่เป็นเนื้อเดียวกันเพื่อลดชิ้นส่วนและรวดเร็วขึ้น[21] การสร้างแบบใหม่จะช่วยลดการสั่นสะเทือน จุดเชื่อมต่อที่หลุดได้ และลดการซ่อมแซมและค่าใช้จ่ายการดูแลรักษา นอกจากนี้แล้วมันยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นอีกด้วย[22] รุ่นเอฟสามารถบินที่ความเร็วมากกว่า 282 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยบรรทุกสินค้ามากกว่า 9,530 กิโลกรัมได้[23] ระบบอิเลคทรอนิกอากาศยังรวมทั้งห้องนักบินซีเอเอเอส (Common Avionics Architecture System) ของร็อกเวลล์ คอลลินส์และระบบดีเอเอฟซีเอส (Digital Advanced Flight Control System) ของบีเออี ซิสเทมส์[21]

โบอิงได้ส่งมอบรุ่นเอฟจำนวน 48 ลำให้กับกองทัพบกสหรัฐ ในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551 โบอิงได้ประกาศว่ากองทัพได้ทำสัญญา 5 ปี โดยมีมูลค่า 4,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสร้างเพิ่มอีก 191 ลำพร้อมกับอีก 24 ทางเลือก[23] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 เนเธอร์แลนด์ได้กลายเป็นลูกค้าต่างชาติรายแรกที่สั่งซื้อรุ่นเอฟ 6 ลำโดยต่อมาเพิ่มขึ้นเป็น 17 ลำ 6 ลำนี้จะได้รับการติดตั้งห้องนักบินซีเอเอเอสของร็อกเวลล์ด้วยเช่นกัน[24] ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552 รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศว่าแผนการเฮลิคอปเตอร์ในอนาคตของพวกเขาจะทำการสั่งซื้อซีเอช-47เอฟ 24 ลำให้ส่งมอบในปีพ.ศ. 2555[25]

เอ็มเอช-47จี

เอ็มเอช-47จีในงานเปิดตัวของโบอิงเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ปัจจุบันเอ็มเอช-47จีกำลังถูกส่งมอบให้กับกองทัพบกสหรัฐ มันคล้ายคลึงกับเอ็มเอช-47อี แต่มีจุดเด่นที่ระบบอิเลคทรอนิกอากาศที่ซับซ้อนกว่าซึ่งรวมทั้งระบบสถาปนิกอิเลคทรอนิกอากาศทั่วไปหรือซีเอเอเอส (Common Avionics Architecture System, CAAS) ระบบซีเอเอเอสเป็นห้องนักบินแก้วแบบทั่วไปที่ใช้ในเฮลิคอปเตอร์มากมายอย่างเอ็มเอช-60เค/แอลและเออาร์เอช-70เอ[26] เอ็มเอช-47จียังจะทำงานร่วมกับระบบใหม่ทั้งหมดของซีเอช-47เอฟอีกด้วย[27]

มันมีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ในอัฟกานิสถาน ซีเอช-47 นั้นถูกพบว่ามีประสิทธิภาพมากกว่ายูเอช-60 แบล็กฮอว์กในฐานะเฮลิคอปเตอร์จู่โจม ด้วยขนาดบรรทุก พิสัย และความเร็วที่มากกว่า ชีนุกหนึ่งลำจึงสามารถเข้ามาแทนที่ยูเอช-60 ได้ถึง 5 ลำในบทบาทเดียวกัน[28]

โครงการพัฒนาใหม่จะเข้ามาทำการพัฒนาเอ็มเอช-47ดีและเอ็มเอช-47อีให้กลายเป็นเอ็มเอช-47จีแทน เอ็มเอช-47อีทั้งหมด 25 ลำและเอ็มเอช-47ดีอีก 11 ลำจะได้รับการพัฒนาในปลายปีพ.ศ. 2546 ในปีพ.ศ. 2545 กองทัพได้ประกาศว่าจะทำการขยายกองบินปฏิบัติการพิเศษของตน ซึ่งจะเพิ่มเอ็มเอช-47จีเข้าไปอีก 12 ลำ[29]

เอชเอช-47

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 เอชเอช-47 แบบใหม่ที่มีพื้นฐานมาจากเอ็มเอช-47จี ได้ถูกเลือกโดยกองทัพอากาศสหรัฐ มันถูกสร้างออกมา 4 ลำ โดยแบบผลิตอีก 141 ลำจะเข้าประจำการในปีพ.ศ. 2555[30][31] อย่างไรก็ดีเมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 สัญญาดังกล่าวก็ถูกจัดการโดยจีเอโอและทำให้กองทัพอากาศต้องทำการเลือกใหม่อีกครั้ง[32]

รุ่นส่งออก

ซีเอช-47เจเป็นเฮลิคอปเตอร์บรรทุกขนาดกลางของกองกำลังป้องกันตนเองทางบกและกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น ซีเอช-47เจเอเป็นรุ่นพิสัยไกลของรุ่นเจ โดยมีถังเชื้อเพลิงที่ใหญ่กว่า ทั้งสองรุ่นถูกสร้างขึ้นภายใต้ใบอนุญาตโดยคาวาซากิ เอชเอช-47ดีเป็นรุ่นสำหรับการค้นหาและช่วยเหลือของกองทัพอากาศสาธารณรัฐเกาหลี

ซีเอช-47ซี ชีนุกแปดลำถูกส่งมอบให้กับกองทัพแคนาดาในปีพ.ศ. 2517 ชีนุกถูกใช้โดยแคนาดาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2517-2534 พวกมันถูกเรียกว่า"ซีเอช-147" เฮลิคอปเตอร์เหล่านี้ต่อมาได้ถูกขายให้กับเนเธอร์แลนด์และปัจจุบันมันถูกใช้งานโดยกองทัพอากาศเนเธอร์แลนด์โดยใช้ชื่อว่าซีเอช-47ดี ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 รัฐบาลออสเตรเลียได้เรียกขอการซื้อซีเอช-47เอฟเจ็ดลำ[33] มีการคาดว่าอิตาลีและสหราชอาณาจักรจะสั่งซื้อเพิ่ม แผนในการพัฒนากองบินซีเอช-47ดีในปัจจุบันทั้งหมดให้กลายเป็นรุ่นเอฟได้เกิดขึ้น และสุดท้ายทำให้มีทั้งหมด 20 ลำ

ในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552 แคนาดาได้ทำสัญญาที่จะซื้อซีเอช-47เอฟ 15 ลำโดยทำการส่งมอบในปีพ.ศ. 2556-2557.[34][35]

รุ่นพลเรือน

  • โมเดล 234แอลอาร์ (พิสัยไกล) - เป็นเฮลิคอปเตอร์บรรทุกทางการตลาด 234แอลอาร์สามารถทำหน้าที่ได้หลายอย่าง เช่น บรรทุกผู้โดยสารอย่างเดียว บรรทุกสินค้าอย่างเดียว หรือบรรทุกทั้งผู้โดยสารและสินค้า (LR ย่อมาจาก Long Range)
  • โมเดล 234อีอาร์ (เพิ่มพิสัย) - เป็นเฮลิคอปเตอร์บรรทุกทางการตลาด (ER ย่อมาจาก Extended Range)
  • โมเดล เอ็มแอลอาร์ (หลากบทบาทพิสัยไกล) - เป็นเฮลิคอปเตอร์บรรทุกทางการตลาด (MLR ย่อมาจาก Multi Purpose Long Range)
  • โมเดล 234ยูที (ยานขนส่งอเนกประสงค์) -เฮลิคอปเตอร์บรรทุกอเนกประสงค์ (UT ย่อมาจาก Utility Transport)
  • โมเดล 414 - เป็นรุ่นส่งออกของซีเอช-47ดี มันมีอีกชื่อหนึ่งว่าซีเอช-47ดี อินเตอร์เนชั่นแนล ชีนุก (อังกฤษ: CH-47D International Chinook)

แบบดัดแปลง

ในปีพ.ศ. 2512 มีการทดลองโมเดล 347 เกิดขึ้น มันคือซีเอช-47เอที่มีลำตัวที่ยาวขึ้น ใบพัดสี่ใบ ปีกที่สามารถถอดออกได้ที่ติดตั้งอยู่ที่ส่วนบนของลำตัว และอื่นๆ มันทำการบินครั้งแรกในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 และถูกพัฒนาต่ออีกหลายปี[36]

ในปีพ.ศ. 2516 กองทัพได้ทำสัญญากับโบอิงเพื่ออกแบบเฮลิคอปเตอร์ยกของขนาดหนัก โดยใช้ชื่อว่าเอ็กซ์ซีเอช-62เอ มันเป็นซีเอช-47 ที่ใหญ่กว่าเดิมและมีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับเอส-64 สกายเครน (ซีเอช-54 ทาร์ฮี) แต่โครงการก็ถูกยกเลิกในปีพ.ศ. 2518 โครงการเริ่มขึ้นอีกครั้งและทำการบินทดสอบในทศวรรษที่ 2523 แต่ก็ไม่ได้รับทุนจากสภาคองเกรสเหมือนเดิม[36] เอชแอลเอชที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถูกแยกชิ้นส่วนเมื่อสิ้นปีพ.ศ. 2548[37]

ใกล้เคียง

ซีเอช-47 ชีนุก ซีเอช-53อี ซูเปอร์สตัลเลียน ซีเอช-53 ซีสตัลเลียน ซี-เอชทีเอ็มแอล ซีเอ็มพังก์ ซีเอสไอ: ไครม์ซีนอินเวสติเกชัน ซีเอ็นบลู ซีเอ็นบีซี เอเชีย ซีเอสไอ: ไมแอมี ซีเอสไอ: นิวยอร์ก

แหล่งที่มา

WikiPedia: ซีเอช-47_ชีนุก http://www.casr.ca/id-italy-chinooks.htm http://www.cbc.ca/canada/story/2008/08/07/helicopt... http://english.peopledaily.com.cn/english/200105/3... http://usmilitary.about.com/od/rotary/a/ch47chinoo... http://www.army-technology.com/projects/chinook/ http://www.aviationweek.com/aw/generic/story.jsp?i... http://www.boeing.com/history/boeing/chinook.html http://www.boeing.com/history/boeing/m234.html http://www.boeing.com/ids/news/2007/q1/070219b_nr.... http://www.boeing.com/news/releases/2006/q4/061109...