มวยปล้ำอาชีพ ของ ซีเอ็มพังก์

ช่วงแรกเริ่มของอาชีพ

ซีเอ็ม พังก์มีชื่อมาจากชื่อย่อแท็กทีมของทีมตนที่มีชื่อทีมคือ ชิก แม็กเน็ตส์ (Chick Magnets) ซึ่งทีมนี้เกิดจาก แบ็กยาร์ดเรสต์ลิง (ปล้ำเล่นกันเอง ณ.สวนหลังบ้านของเขา) ซึ่งพังก์จับคู่กับเพื่อนที่ชื่อว่า วีนอม พออยู่ในแท็กทีมเขาทั้งคู่จึงใช้นามแท็กทีมเป็นตัวย่อ "ซีเอ็ม" จึงเป็น ซีเอ็ม วีนอม (CM Venom)[17][18][19][20][21][2][22]

ดับเบิลยูดับเบิลยูอี

ช่วงแรก

แชมป์โลก ECW

พังก์ได้เปิดตัวครั้งแรกในอีซีดับเบิลยู(ECW) และได้ปล้ำแมตช์แรกในเฮาส์โชว์ วันที่ 24 มิถุนายน 2006 โดยชนะ สตีวี ริชาร์ดส[23] พังก์ได้เปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการใน ECW (4 กรกฎาคม 2006) ในนามซุปเปอร์สตาร์ดาวรุ่งแห่งค่าย ECW ภายใต้สโลแกนด์ สเตรจต์เอดจ์ซูเปอร์สตาร์ "ไม่เสพสิ่งเสพติดใดๆ ไม่ดื่มเหล้า" และได้ขึ้นปล้ำอย่างเป็นทางการใน ECW (1 สิงหาคม 2006) โดยเอาชนะ จัสติน เครดิเบิล จากนั้นพังก์ก็สามารถล้มนักมวยปล้ำใน ECW ได้หลายคน ได้แก่ คริสโตเฟอร์ ดับเบิลยู. แอนเดอร์สัน, สตีวี ริชาร์ดส และ ชานนอน มัวร์ จนเป็นสถิติที่ไร้พ่ายหลังจากการเปิดตัว (ชนะ 4 แพ้ 0) ในช่วงนั้น[24]

ในเซอร์ไวเวอร์ ซีรีส์ 2006 พังก์ได้เข้าร่วมทีมกับดี-เจเรเนชั่น เอ็กซ์ (ทริปเปิลเอช และชอว์น ไมเคิลส์) และฮาร์ดี บอยซ์ (แมต ฮาร์ดี และเจฟฟ์ ฮาร์ดี) สามารถเอาชนะทีมเรท-อาร์เคโอ (เอดจ์ และแรนดี ออร์ตัน), ไมค์ น็อกซ์, เกรกอรี เฮมส์ และจอห์นนี ไนโตร มาได้[25] หลังจากนั้นมา พังก์ก็เริ่มเปิดศึกกับทางด้านไมค์ น็อกซ์ เนื่องจากเคลลี เคลลี แฟนสาวน็อกซ์ ไปแอบปลื้มพังก์ ทำให้น็อกซ์ไม่พอใจ ทั้งคู่เลยมีแมตช์ต้องเจอกัน แล้วพังก์ก็สามารถเอาชนะไปได้ ซึ่งแมตช์นี้เองที่ทำให้พังก์ได้ผ่านเข้ารอบเพื่อเข้าไปชิงแชมป์โลก ECW ในแมตช์เอกซ์ตรีม อิลิมิเนชั่น แชมเบอร์ ในดีเซมเบอร์ทูดิสเมมเบอร์ (2006) โดยถือว่าเป็นแมตช์ชิงแชมป์แรกของเขาในการปล้ำ WWE และยังคงความไร้พ่ายใน ECW ช่วงนั้นอีกด้วย และในแมตช์นี้ผู้เข้าร่วมอื่นได้แก่ บิ๊กโชว์(แชมป์), ร็อบ แวน แดม, เทสต์, ฮาร์ดคอร์ ฮอลลี และ บ็อบบี แลชลีย์ แต่พังก์ก็ยังคงไม่สามารถทำได้สำเร็จ ซึ่งผู้ชนะในครั้งนั้นเป็นการคว้าแชมป์ ECW สมัยแรกคือแลชลีย์ และเป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรกของพังก์ใน ECW ด้วย[26] แล้วอีกก้าวหนึ่งของพังก์ก็มาถึงเมื่อเขาได้ผ่านเข้ารอบเข้าสู่แมตช์ชิงกระเป๋ามันนีอินเดอะแบงก์ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 23 ซึ่งนี่คือเรสเซิลเมเนียครั้งแรกของพังก์ และถือว่าเป็นซูเปอร์สตาร์แห่ง ECW คนแรกที่ได้เข้าร่วมเรสเซิลเมเนีย แต่พังก์ก็ไม่สามารถคว้ากระเป๋ามาได้[27]

ใน ECW (10 เมษายน 2007) พังก์ได้ผันตัวกลายมาเป็นตัวร้ายในกลุ่มของนักมวยปล้ำ ECW ยุคใหม่อย่างทีมนิวบรีด (อีไลจาห์ เบิร์ก (หัวหน้า), มาร์คัส คอร์ วอน, เควิน ทอร์น และ แมต สไตรเกอร์)[28] ที่กำลังเปิดศึกกับนักมวยปล้ำ ECW แท้ดั้งเดิมอย่างอีซีดับเบิลยู ออริจินัล (ร็อบ แวน แดม, ทอมมี ดรีเมอร์, ซาบู และแซนด์แมน)[29][30] แต่จากนั้นอีก 2 สัปดาห์ พังก์ก็หักหลังทีมนิวบรีด หันกลับไปอยู่กับทีมอีซีดับเบิลยู ออริจินัล และกลับมาเป็นฝ่ายธรรมะอีกครั้ง[31] จนได้เกิดแมตช์แทกทีม 6 คนจับทุ่มใส่โต๊ะ ในวันไนท์สแตนด์ 2007 ระหว่างทีมอีซีดับเบิลยู ออริจินัล (พังก์, ดรีเมอร์ และแซนด์แมน) กับทีมนิวบรีด (อีไลจาห์, คอร์ วอน และสไตรเกอร์) และทีมออริจินัลก็เป็นฝ่ายชนะไปได้สำเร็จ[32]

แชมป์โลกเฮฟวี่เวท

แชมป์ ECW บ็อบบี แลชลีย์ ได้ถูกดราฟท์ไปอยู่รอว์ ทำให้ต้องถูกปลดจากตำแหน่ง เลยมีการจัดทัวร์นาเมนต์เพื่อหาแชมป์คนใหม่ ซึ่งในครั้งนั้นพังก์เอาชนะมาร์คัส คอร์ วอน และคริส เบนวาก็ชนะอีไลจาห์ เบิร์ก ทำให้ทั้งคู่ได้เข้ารอบชิงแชมป์กันในเวนเจินส์[33] แต่พอในคืนนั้นจริง เบนวามาไม่ได้จึงให้จอห์นนี ไนโตรมาปล้ำแทน สุดท้ายไนโตรก็คว้าแชมป์ไป[34] จากนั้นได้ขอท้าชิงถึง 3 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จสักครั้ง และใน ECW (1 กันยายน 2007) ความพยายามก็บรรลุผลด้วยการชิงเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้าย และพังก์สามารถคว้าแชมป์ ECW สมัยแรกได้สำเร็จ[35] จนกระทั่งใน ECW (22 มกราคม 2008) เสียแชมป์ให้ชาโว เกร์เรโรแบบไม่มีกฎกติกา ด้วยการก่อกวนของเอดจ์ที่วิ่งมาสเปียร์ใส่พังก์ ทำให้โดนจับกดแพ้[36]

แชมป์โลกเฮฟวี่เวท

แชมป์โลกแท็กทีม

ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 24 พังก์ได้ชนะในแมตช์มันนีอินเดอะแบงก์คว้ากระเป๋าได้สำเร็จ[37][38] หลังจากที่ได้สิทธิ์มันนีอินเดอะแบงก์มาครอบครอง ไม่นานเขาก็ถูกดราฟท์มาอยู่รอว์ จากการดราฟท์ในรอว์ (23 มิถุนายน 2008) และในคืนนั้นบาทิสตาได้เล่นงานเอดจ์ เจ้าของแชมป์โลกเฮฟวี่เวท แต่จากนั้น พังก์ก็วิ่งออกมาใช้สิทธิ์กระเป๋าเอาชนะเอดจ์ คว้าแชมป์โลกเฮฟวี่เวท เป็นสมัยแรกได้สำเร็จ[39] และจากนั้นพังก์ก็ป้องกันแชมป์มาได้ตลอด จนถึงอันฟอร์กิฟเว่น (2008) ซึ่งตามจริงพังก์ได้บรรจุเข้าสู่ Scramble Match เพื่อป้องกันตำแหน่งแชมป์ แต่ระหว่างที่พังก์ให้สัมภาษณ์อยู่หลังฉากก็โดนเดอะเลกาซี(แรนดี ออร์ตัน, โคดี โรดส์, เท็ด ดีบีอาซี และมานู) มารุมเล่นงานพังก์ และถูกออร์ตันเตะที่ศีรษะ ทำให้คืนนั้นพังก์มาปล้ำไม่ได้(ตามบท) เลยต้องสละแชมป์ไปโดยปริยาย[40]

ในรอว์ (27 ตุลาคม 2008) พังก์ได้มาจับคู่กับโคฟี คิงส์ตัน ผู้ที่มาช่วยพังก์ในอันฟอร์กิฟเว่น ทั้งคู่เอาชนะเดอะเลกาซี(โคดีและเท็ด)ได้แชมป์โลกแท็กทีมเป็นการแก้แค้นได้สำเร็จ[41] ในรอว์ธันวาคม 2008 ได้มีการจัดทัวร์นาเมนต์หาผู้ท้าชิงแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัลกับวิลเลียม รีกัล โดยพังก์ได้เข้าร่วมและได้มาสู่ทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้ายกับเรย์ มิสเตริโอ ใน Live Event วันที่ 13 ธันวาคม 2008 พังก์และโคฟีเสียแชมป์ให้จอห์น มอร์ริสันและเดอะมิซ[42] ในอาร์มาเกดดอน (2008) พังก์ชนะเรย์ได้เป็นผู้ท้าชิงอันดับ 1 แชมป์อินเตอร์กับรีกัล ในรอว์ (5 มกราคม 2009) พังก์ได้ชิงแชมป์กับรีกัล แต่พังก์ถูกปรับแพ้ฟาล์วไม่ได้แชมป์[43] สัปดาห์ต่อมา สเตฟานี แม็กแมนประกาศให้พังก์รีแมตช์ แต่เป็นพังก์ที่แพ้ฟาล์วไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ[44] ในรอว์ (19 มกราคม 2009) ได้มีคำสั่งรีแมตช์อีกทีโดยไม่มีกฎกติกา และพังก์ก็สามารถคว้าแชมป์อินเตอร์ได้สำเร็จทำให้พังก์ได้เป็นแชมป์ทริปเปิลคราวน์คนที่ 19 ของWWE[45] ก่อนจะเสียแชมป์ให้เจบีแอลในรอว์ (9 มีนาคม 2009)[46]

แชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล

ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 25 พังก์ทำเซอร์ไพรส์แฟนๆ ด้วยการเอาคว้ากระเป๋ามันนีอินเดอะแบงก์เป็นครั้งที่2 ติดต่อกัน[47] ในรอว์ 13 เมษายน หรือ WWE ดราฟท์ 2009 นั่นเอง พังก์ถูกดราฟต์จากรอว์มาสแมคดาวน์ ซึ่งพังก์ย้ายมาถึงก็ตั้งใจที่จะมาใช้สิทธิ์กระเป๋ากับเอดจ์อีกครั้ง แต่ระหว่างที่พังก์กำลังจะประกาศใช้ก็โดนอูมากาเข้ามาขัดขวาง เลยทำให้ยังไม่ได้ใช้[48] ต่อจากนั้นจึงเปิดศึกกับอูมากาและพังก์ก็แพ้ในจัดจ์เมนท์เดย์ (2009) แต่สุดท้ายพังก์ก็สามารถล้างตาเอาชนะไปได้ใน Samoan Strap Match ในเอ็กซ์ตรีมรูลส์ (2009)[49] แต่ในคืนเดียวกันนั้นเอง พังก์ทำคนดูทั้งโลกตกตะลึง โดยการออกมาใช้สิทธิ์กับขวัญใจคนดูอย่างเจฟฟ์ ฮาร์ดี หลังจากที่เจฟฟ์ได้แชมป์โลกเฮฟวี่เวทจากเอดจ์ในแมชต์ไต่บันได พังก์สามารถคว้าแชมป์แชมป์เป็นสมัยที่2 และได้กลายมาเป็นฝ่ายอธรรม[50]

พังก์ได้เปิดศึกกับเจฟฟ์ โดยพังก์มีแมตช์ป้องกันแชมป์โลกเฮฟวี่เวทในเดอะแบช (2009) แต่พังก์ใช้วิชามาร แกล้งเจ็บตา แล้วเตะหลังกรรมการ กรรมการเลยปรับพังก์แพ้ฟาล์ว แต่ไม่เสียแชมป์[51] จนกระทั่งในศึก ไนท์ออฟแชมเปียนส์ (2009) เจฟฟ์ได้รับโอกาสรีแมตช์ และคว้าแชมป์โลกเฮฟวี่เวท กลับมาเป็นสมัยที่ 2 ได้สำเร็จ[52] เรื่องราวของทั่งคู่ก็ยังไม่จบลง พังก์ก็ได้รีแมตช์อีกครั้งในซัมเมอร์สแลม (2009) ในรูปแบบการปล้ำแมตช์ TLC และพังก์ก็คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 3 ได้สำเร็จอีกครั้ง หลังแมตช์ ดิอันเดอร์เทเกอร์ ได้มาเล่นงานพังก์[53] ต่อมาเจฟฟ์ขอรีแมตช์ชิงแชมป์อีกครั้งในสแมคดาวน์ (28 สิงหาคม 2009) ในการปล้ำในกรงเหล็ก โดยมีอาชีพของเจฟฟ์เป็นเดิมพัน และพังก์ก็ป้องกันแชมป์ไว้ได้ ทำให้เจฟฟ์ต้องออกจาก WWE[54] พังก์ได้เปิดศึกกับ ดิอันเดอร์เทเกอร์ ทั้งคู่มีแมตช์ได้เจอกันในรูปแบบซับมิสชั่นแมตช์ ในเบรกกิ้งพอยท์ โดยที่พังก์ตบพื้นยอมแพ้ด้วยท่า Hells's Gate และเสียแชมป์ แต่ว่า ทีโอดอร์ ลอง ได้ประกาศให้เริ่มแมตช์ใหม่อีกครั้ง เพราะท่านี้ถูกแบนพังก์เลยฉวยโอกาสจัดการใส่ Anaconda Vise และกรรมการตัดสินให้พังก์ชนะทั้งที่อันเดอร์เทเกอร์ไม่ได้ตบพื้นยอมแพ้เยี่ยงเหตุการณ์ มอนทรีออลสครูว์จ็อบ และพังก์ยังเป็นแชมป์ต่อไป[55] สุดท้ายแล้วพังก์ก็เสียแชมป์ให้กับอันเดอร์เทเกอร์ในเฮลอินเอเซล (2009)[56]

สเตรตเอดจ์ซะไซอะที

เดอะสเตรตเอดจ์ซะไซอะที

ในสแมคดาวน์ (27 พฤศจิกายน 2009) พังก์ได้ก่อตั้งกลุ่มเดอะสเตรตเอดจ์ซะไซอะที โดยมี พังก์ และลู้ก แกลโลส์[57] ภายใต้สโลแกนด์ “ปลอดสารเสพติด” โดยพังก์ได้มาบรรยายสรรพคุณของสเตรจต์เอดจ์โซไซอิตี ว่าเขาสามารถพัฒนาชีวิตของแกลโลส์ได้[58] จากนั้นพังก์ก็เริ่มเทศน์โดยเอาผู้ที่สนใจจะเข้าร่วมลัทธิมาโกนหัว ต่อมาได้พบกับเซเรนาที่อยากจะเข้าร่วมก็จับโกนหัวและมาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสเตรตเอดจ์ซะไซอะที[59] ต่อมาได้มีเรื่องกับเรย์ มิสเตริโอ โดยในอิลิมิเนชั่น แชมเบอร์ (2010) ในแมตช์อิลิมิเนชั่น แชมเบอร์นั้น เรย์ได้ทำให้พังก์แพ้ตกรอบ[60] และในสแมคดวาน์ ได้มีการคัดเลือกผู้เข้าร่วมแมตช์มันนีอินเดอะแบงก์ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 26 โดยพังก์มีแมตช์คัดเลือกกับเชลตัน เบนจามิน ทว่าเรย์เข้ามาก่อกวน ทำให้พังก์หมดโอกาสเข้าร่วมมันนีอินเดอะแบงก์[61] ทั้งคู่จึงมีความบาดหมางกัน และมีแมตช์ได้เจอกันในเรสเซิลเมเนีย 26 โดยมีข้อเดิมพันว่า “ถ้าเรย์แพ้ต้องเข้าร่วมกลุ่มสเตรตเอดจ์ซะไซอะที” แต่เรย์ก็เอาชนะไปได้[62] และแล้วทั้งคู่ก็ได้เจอกันอีกในเอ็กซ์ตรีมรูลส์ (2010) โดยมีเงื่อนไข “ถ้าพังก์แพ้ต้องโดนโกนหัว” แต่พังก์ก็เอาชนะไปได้ จากการช่วยเหลือของโจอี เมอร์คิวรี[63] ในโอเวอร์เดอะลิมิต (2010) ทั้งคู่เจอกันเป็นแมตช์ครั้งที่3 โดยมีเงื่อนไขทั้งสองอย่าง “ถ้าเรย์แพ้ต้องเข้าร่วมกลุ่ม และถ้าพังก์แพ้ต้องโดนโกนหัว” สุดท้ายพังก์เป็นฝ่ายแพ้เรย์ จึงถูกเรย์โกนหัวทำให้พังก์หัวล้านและต้องใส่หน้ากากปล้ำตลอดเวลา[64][65] ในสแมคดาวน์ (16 กรกฎาคม 2010) พังก์ถูกบิ๊กโชว์จับถอดหน้ากากจนเห็นหัวล้าน[66] ทำให้พังก์แค้นมาก และได้จัดแมตช์แฮนดิแคป 3 รุม 1 ระหว่างสเตรตเอดจ์ซะไซอะที (พังก์, แกลโลส์ และเมอร์คิวรี) กับบิ๊กโชว์ ในซัมเมอร์สแลม (2010) แต่ก็ไม่สามารถล้มบิ๊กโชว์ได้[67] จากนั้นพังก์ได้ขอท้าเจอกับบิ๊กโชว์ แบบเดี่ยวๆตัวๆ ในไนท์ออฟแชมเปียนส์ (2010) แต่พังก์ก็เป็นฝ่ายแพ้[68] ต่อมาเซเรนาได้ถูกไล่ออก[69] และเมอร์คิวรีได้รับบาดเจ็บ[70] จากนั้นไม่นานสเตรตเอดจ์ซะไซอะทีได้ยุติบทบาทลง[71]

พังก์ในตอนเป็นหัวหน้ากลุ่มเดอะนิวเน็กซัส

พังก์ได้ย้ายมาสังกัดรอว์ และได้เอาชนะอีแวน บอร์น ทำให้ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกทีมฝั่งรอว์ ปะทะกับทีมฝั่งสแมคดาวน์ หลังแมตช์พังก์ได้เล่นงานบอร์นด้วยท่า Anaconda Vise[72] ในแบรกกิ้ง ไรท์ส (2010) ทีมฝั่งรอว์ก็เป็นฝ่ายแพ้ให้กับทีมฝั่งสแมคดาวน์[73] ต่อมาพังก์มีอาการบาดเจ็บที่สะโพก พังก์จึงมาเป็นโฆษกผู้บรรยายอยู่ข้างเวทีชั่วคราว[74][75] ในรอว์ 22 พฤศจิกายน พังก์ได้เอาเก้าอี้มาตีใส่จอห์น ซีนาแบบไม่มีเหตุผล[76][77] จากนั้นไม่นานพังก์ก็ได้ประกาศตนเองเป็นหัวหน้ากลุ่มเดอะเน็กซัส แทนอดีตหัวหน้ากลุ่มเวด บาร์เร็ตต์[78] ต่อมาพังก์ได้เปลี่ยนชื่อกลุ่มจากเดอะเน็กซัส เป็นเดอะนิวเน็กซัส และเขาได้ทดสอบสมาชิกทุกคนด้วยความบ้าคลั่ง และต่อมาไม่นานก็ได้เปิดตัวสมาชิกใหม่อย่างเมสัน ไรอัน[79] ในรอยัลรัมเบิล (2011)พังก์ได้ไปก่อกวนการปล้ำของแรนดี ออร์ตันจนแพ้ให้เดอะมิซในการชิงแชมป์ WWE[80] จากนั้นได้เปิดศึกกับออร์ตันเพื่อต้องการล้างแค้นจากการที่ออร์ตันได้เตะศีรษะของพังก์ ทำให้ต้องสละแชมป์โลกเฮฟวี่เวทเมื่อปี 2008 และพังก์ได้รอคอยวันที่จะล้างแค้นออร์ตันมานานจนกระทั่งมีกลุ่มเดอะนิวเน็กซัส ทำให้พังก์ได้โอกาสล้างแค้นอย่างสมใจ ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 27 พังก์ได้เจอกับออร์ตันโดยจะไม่มีกลุ่มเดอะนิวเน็กซัสอยู่ข้างเวทีด้วย สุดท้ายพังก์ก็เป็นฝ่ายแพ้[81] ในเอ็กซ์ตรีมรูลส์ (2011) พังก์ได้รีแมตช์กับออร์ตันแบบลาสแมนสแตนดิ้ง โดยใครถูกกรรมการนับ 10 ก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่พังก์เป็นฝ่ายถูกกรรมการนับ 10 แพ้ไปเป็นครั้งที่2 ติดต่อกัน[82][83]

การครองแชมป์ WWE

คว้าแชมป์ WWEสมัยแรกในมันนีอินเดอะแบงก์ (2011)

ในรอว์ 20 มิถุนายน พังก์ได้เอาชนะเรย์และอัลเบร์โต เดล รีโอ ในแมตช์ 3 เส้า ทำให้ได้เป็นผู้ท้าชิงอันดับ 1 ในการชิงแชมป์ WWE กับจอห์น ซีนา ในมันนีอินเดอะแบงก์ (2011) และในรอว์ต่อมา (27 มิถุนายน) พังก์ได้พูดด่าทั้ง WWE, ซีนา และอีกหลายๆ คนร่วมทั้งประธานบริษัท WWE และ CEO ของ WWE วินซ์ แม็กแมน จนถูกตัดเสียงไมโครโฟน ซึ่งเป็นการตัดสินใจของวินซ์ แล้วปิดรายการในทันที ซึ่งรายงานล่าสุดเป็นรายงานว่า พังก์ถูกระงับอย่างไม่มีกำหนดโดย WWE[84] ในรอว์ 11 กรกฎาคม วินซ์สั่งให้มีแมตช์ระหว่างซีนากับพังก์ในมันนีอินเดอะแบงก์ โดยมีข้อแม้ว่าถ้าพังก์ชนะ พังก์จะลาออกจาก WWE พร้อมกับแชมป์ WWE และซีนาก็ต้องออกจาก WWE อีกด้วย[85] สุดท้ายแล้วพังก์ก็เป็นฝ่ายเอาชนะซีนา และคว้าแชมป์ WWE เป็นสมัยแรกได้สำเร็จ และพังก์ก็ได้ลาออกจาก WWE พร้อมกับแชมป์ WWE และซีนาก็ต้องออกจาก WWE หลังแมตช์ วินซ์รีบเดินไปที่โต๊ะผู้บรรยายแล้วต่อสายเรียกเดล รีโอ ให้ออกมาใช้กระเป๋ามันนีอินเดอะแบงก์ เดล รีโอวิ่งออกมาพร้อมกระเป๋า พังก์เตะก้านคอใส่เดล รีโอ และปีนที่กั้นคนดูหนีออกจากสนามไปท่ามกลางผู้ชมพร้อมกับเข็มขัดแชมป์ WWE[85]

ในรอว์ 25 กรกฎาคม พังก์ได้มาปรากฏตัวด้วยเพลงเปิดตัวใหม่อย่าง "Cult Of Personality" พร้อมกับเข็มขัดแชมป์ WWE และยืนจ้องหน้ากับซีนา เจ้าของแชมป์ WWE เส้นใหม่ หลังจากที่ ซีนาไม่ถูกไล่ออก จากนั้นต่างฝ่ายต่างชูเข็มขัดของตัวเองประกาศศักดา[86][87] ในซัมเมอร์สแลม (2011) พังก์เจ้าของแชมป์ WWE ได้เจอกับ จอห์น ซีนา เจ้าของแชมป์ WWE ในการชิงแชมป์อันดิสพิวเด็ต WWE โดยมีทริปเปิลเอชเป็นกรรมการพิเศษ สุดท้ายพังก์ก็เป็นฝ่ายชนะและคว้าแชมป์อันดิสพิวเด็ต WWE มาได้[88] หลังแมตช์ เควิน แนชได้มาลอบทำร้ายพังก์ และใส่ท่า Jackknife Powerbomb เล่นงานพังก์ จากนั้นเดล รีโอออกมาพร้อมกระเป๋ามันนีอินเดอะแบงก์ใช้สิทธิ์คว้าแชมป์จากพังก์ไปทันที[89] ต่อมาพังก์ได้กลับมาเป็นฝ่ายธรรมะ และเปิดศึกกับทริปเปิลเอช[90] และท้าเจอกันในไนท์ออฟแชมเปียนส์ (2011) โดยมีข้อแม้ว่าถ้าพังก์ชนะ ทริปเปิลเอชจะต้องออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ แต่พังก์เป็นฝ่ายแพ้[91] ในเฮลอินเอเซล (2011) พังก์ได้ปล้ำชิงแชมป์ WWE ในกรงเหล็กเฮลอินเอเซลกับ จอห์น ซีนา และ อัลเบร์โต เดล รีโอ สุดท้ายเป็น เดล รีโอ ที่เป็นฝ่ายคว้าแชมป์ไปได้[92] ต่อมาพังก์ได้เปิดศึกกับอัลเบร์โต เดล รีโอ และขอท้าชิงแชมป์ WWE ในเซอร์ไวเวอร์ซีรีส์ (2011) และพังก์ก็เอาชนะเดล รีโอ และได้คว้าแชมป์ WWE เป็นสมัยที่ 2[93][94]

พังก์ได้เปิดศึกกับดอล์ฟ ซิกก์เลอร์ และได้มีเรื่องกับ จอห์น โลรีนายติส ผู้จัดการทั่วไปชั่วคราวของรอว์ ในรอยัลรัมเบิล (2012) พังก์ต้องป้องกันแชมป์ WWE กับซิกก์เลอร์ โดยมี โลรีนายติสเป็นกรรมการพิเศษ สุดท้ายพังก์ก็สามารถป้องกันแชมป์ไว้ได้สำเร็จ[95] นศึก อิลิมิเนชั่น แชมเบอร์ (2012) พังก์ต้องป้องกันแชมป์ WWE กับ ดอล์ฟ ซิกก์เลอร์, คริส เจอริโค, เดอะมิซ, อาร์-ทรูธ และ โคฟี คิงส์ตัน ในแมตช์การปล้ำอิลิมิเนชั่น แชมเบอร์ สุดท้ายพังก์เป็นฝ่ายป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ[96] ต่อมาพังก์ได้เปิดศึกกับ คริส เจอริโค ในรอว์ (20 กุมภาพันธ์ 2012) เจอริโคได้เป็นผู้ชนะในแมตช์ แบทเทิลรอยัล ทำให้เจอริโคได้เป็นผู้ท้าชิงอันดับ 1 ในการชิงแชมป์ WWE กับพังก์ ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 28 หลังแมตช์พังก์ได้ขึ้นมาแสดงความยินดีด้วยการจับมือแต่เจอริโคไม่จับมือแล้วเดินกลับไป[97] ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 28 พังก์ต้องป้องกันแชมป์ WWE กับเจอริโค โดยโลรีนายติส สั่งไว้ว่าถ้าพังก์ถูกปรับแพ้ฟาล์ว พังก์จะเสียแชมป์ให้กับเจอริโคทันที สุดท้ายพังก์ก็สามารถป้องกันแชมป์เอาไว้ได้สำเร็จ[98] ในศึก เอ็กซ์ตรีมรูลส์ (2012) พังก์ต้องป้องกันแชมป์ WWE กับเจอริโคอีกครั้ง ในแมตช์การปล้ำชิคาโกสตรีทไฟท์ สุดท้ายพังก์ก็สามารถป้องกันแชมป์ไว้ได้อีกครั้ง[99]

พังก์กับแชมป์ WWE โดยมีพอล เฮย์แมนเป็นผู้จัดการ

ในโอเวอร์เดอะลิมิต (2012) พังก์สามารถป้องกันแชมป์กับแดเนียล ไบรอันเอาไว้ได้สำเร็จ[100] ในโนเวย์เอาท์ (2012) สามารถป้องกันแชมป์กับแดเนียล ไบรอัน และเคนไว้ได้[101] ในมันนีอินเดอะแบงก์ (2012) สามารถป้องกันแชมป์กับแดเนียล ไบรอันได้ในแมตช์ไม่มีการปรับแพ้ฟาล์ว โดยมีเอเจเป็นกรรมการพิเศษ[102] ในรอว์ ตอนที่ 1,000 (23 กรกฎาคม) พังก์ต้องป้องกันแชมป์ WWE กับซีนา ผลปรากฏว่าบิ๊กโชว์ออกมาอัดซีนา ทำให้พังก์ถูกปรับแพ้ฟาวล์ไม่เสียแชมป์ หลังแมตช์บิ๊กโชว์กระทืบซีนาไม่ยั้ง แต่พังก์ก็ยืนดูเฉยๆ ไม่ยอมช่วย เดอะ ร็อก ออกมาช่วยซีนา และจะใช้ People's Elbow ใส่บิ๊กโชว์ แต่พังก์ขึ้นมาโคลทส์ไลน์ เล่นงานใส่ร็อก และจับใส่ GTS ก่อนจะเดินจากไปท่ามกลางเสียงโห่ของคนดูและกลายมาเป็นอธรรมอีกครั้ง[103][104][105] ในซัมเมอร์สแลม (2012) สามารถป้องกันแชมป์กับจอห์น ซีนาและบิ๊กโชว์เอาไว้ได้[106] ในรอว์ (3 กันยายน 2012) แมตช์ระหว่างจอห์น ซีนากับอัลเบร์โต เดล รีโอในการจับกดที่ไหนก็ได้ พังก์โผล่มาเตะก้านคอซีนาจนหลับ แล้วก็พาเดล รีโอมากดเอาชนะไป จากนั้นพังก์จับซีนามาโยนใส่ฝากระโปรงรถของตัวเอง และก็ขึ้นรถที่มีพอล เฮย์แมน เป็นคนขับแล้วก็ขับออกไป[107] ในไนท์ออฟแชมเปียนส์ (2012) พังก์ต้องป้องกันแชมป์ WWE กับซีนา ผลปรากฏว่าทั้งคู่เสมอกัน ทำให้พังก์ป้องกันแชมป์เอาไว้ได้[108]

ในรอว์ (24 กันยายน 2012) พังก์ออกมาและพูดกับซีนา ว่าพังก์จะไม่เจอกับซีนาในเฮลอินเอเซล (2012) ก่อนจะให้คำแนะนำซีนาไปว่ารีบวิ่งลงไปจากเวที ก่อนจะหันหลังแล้วนับ 1-5 พังก์ก็หันหลังพร้อมกับเฮย์แมนด้วย ระหว่างที่ทั้งคู่หันหลังอยู่นั้น ซีนาก็ควักแท่งเหล็กขนาดประมาณ 1 ฟุตออกมา พอพังก์ นับ 1-5 เสร็จ หันกลับมาโดนซีนาเอาแท่งเหล็กตีไปเต็มๆ จนทั้งคู่ต้องรีบลงจากเวที จากนั้นพังก์ก็เดินกลับไปหลังเวทีพร้อมกับเข็มขัดแชมป์ WWE ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว และไปเล่นงานมิค โฟลีย์ ก่อนจะเห็นไรแบ็กยืนจ้องอยู่[109] ในรอว์ (8 ตุลาคม 2012) พังก์ได้มีแมตช์กับ วินซ์ แม็กแมน ในแมตช์การปล้ำไม่มีการปรับแพ้ฟาล์ว โดยก่อนเริ่มปล้ำพังก์ได้มาลอบทำร้ายวินซ์จากด้านหลัง ท้ายแมตช์ไรแบ็กกับซีนาวิ่งออกมาช่วยวินซ์ ทำให้พังก์รีบหนีไปบนอัฒจรรย์พร้อมเข็มขัดแชมป์ WWE หลังแมตช์ วินซ์ประกาศให้พังก์ตัดสินใจว่าจะเจอกับไรแบ็กหรือซีนาในเฮลอินเอเซล[110] ในรอว์ (15 ตุลาคม 2012) ในช่วงการเซ็นสัญญาชิงแชมป์ WWE วินซ์ก็เลือกไรแบ็กให้ชิงแชมป์กับพังก์ โดยที่ซีนาก็สนับสนุนและช่วยเชียร์ไรแบ็กด้วย พังก์เข้าไปท้าทายไรแบ็ก หลังจากเซ็นสัญญาเสร็จ เลยโดนไรแบ็กจับหัวโขกโต๊ะ แล้วใส่ท่า Shell Shock[111] ในเฮลอินเอเซล พังก์ก็สามารถป้องกันแชมป์ไว้ได้ จากการช่วยเหลือของแบรด แมดด็อกซ์ ที่เป็นกรรมการในแมตช์ และเป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรกของไรแบ็กด้วย[112] ในเซอร์ไวเวอร์ซีรีส์ (2012) พังก์สามารถป้องกันแชมป์ WWE กับซีนา และไรแบ็กไว้ได้ ทำให้พังก์ครองแชมป์ WWE มาได้ครบ 365 วันหรือ 1 ปีเต็ม จากการช่วยเหลือของกลุ่มเดอะชีลด์ (ดีน แอมโบรส, เซท รอลลินส์ และ โรแมน เรนส์)[113] ในรอยัลรัมเบิล (2013) พังก์ได้เสียแชมป์ WWE ให้กับ เดอะ ร็อก หลังจากที่พังก์ครองแชมป์มาเป็นเวลาถึง 434 วัน[114] จากนั้นพังก์ก็ได้ขอรีแมตช์ชิงแชมป์คืนกับเดอะ ร็อกในอิลิมิเนชั่น แชมเบอร์ (2013) แต่ก็ไม่สำเร็จ[115] ในรอว์ (25 กุมภาพันธ์ 2013) พังก์ได้แพ้ให้กับจอห์น ซีนา ในการเดิมพันสิทธิ์ผู้ชนะรอยัลรัมเบิลของซีนา ที่จะชิงแชมป์ WWE กับเดอะ ร็อก ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 29[116]

ช่วงท้ายกับ WWE

ในรอว์ (4 มีนาคม 2013) พังก์ออกมาประกาศว่าจะทำลายสถิติของ อันเดอร์เทเกอร์ 20-0 ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 29 จากนั้นทั้ง ออร์ตัน, บิ๊กโชว์ และ เชมัส ก็ออกมาบอกว่าอยากจะเจอกับ อันเดอร์เทเกอร์ จากนั้น วิคกี เกอร์เรโร ออกมาจัดแมตช์ 4 เส้า พังก์, ออร์ตัน, บิ๊กโชว์ และ เชมัส ผู้ชนะจะได้เจอกับอันเดอร์เทเกอร์ ในเรสเซิลเมเนีย และพังก์ก็เป็นฝ่ายชนะและได้ไปเจอกับอันเดอร์เทเกอร์ ในเรสเซิลเมเนีย[117] สุดท้ายพังก์ก็ไม่สามารถทำลายสถิติของอันเดอร์เทเกอร์ได้ และเพิ่มสถิติเป็น 21-0[118] จากนั้นพังก์ได้ขอพักการปล้ำไปซักระยะหนึ่ง เพื่อไปรักษาอาการบาดเจ็บที่สะสมมานาน[119]

ในศึก เพย์แบ็ค (2013) พังก์ได้กลับมาอีกครั้ง ในบ้านเกิดของเขา (ชิคาโก, อิลลินอยส์) โดยเอาชนะ คริส เจอริโค ไปได้สำเร็จ และได้กลับมาเป็นฝ่ายธรรมะอีกครั้ง[120] ในรอว์ (17 มิถุนายน 2013) พังก์ได้เจอกับ อัลเบร์โต เดล รีโอ โดยพังก์ชนะเคาท์เอาท์ หลังแมตช์ บร็อก เลสเนอร์ เดินออกมาและจ้องหน้าพังก์ บร็อกเอาไมค์มาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรกับพังก์ แต่อยู่ๆ บร็อกก็จับใส่ F-5 แล้วก็เดินกลับไป ปล่อยให้พังก์นอนหมดสภาพอยู่บนเวที[121] ในรอว์ (24 มิถุนายน 2013) พังก์ออกมาและขอให้เฮย์แมนพูดความจริงว่าเขาส่ง บร็อก เลสเนอร์ มาเล่นงานเขาใช่มั้ย? แต่เฮย์แมนบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องเลย นั่นมันเป็นเพราะพังก์เองที่ไปพูดว่าบร็อกต้องให้เฮย์แมนคอยช่วยเหลือ มันถึงได้เกิดเรื่องขึ้น เฮย์แมนบอกว่า พังก์เป็นคนที่เขาปั้นมากับมือและเขาจะไม่ทำลายความฝันของตัวเองที่จะเห็นพังก์เป็นคู่เอกใน เรสเซิลเมเนีย เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยหรอก พังก์ขอโทษที่เขาสงสัยเฮย์แมน จากนั้นก็กอดกัน ในมันนีอินเดอะแบงก์ (2013) พังก์ได้เข้าร่วมแมตช์ชิงสัญญาในการชิงแชมป์ WWE โดยพังก์ได้ถูกเฮย์แมนหักหลัง ทำให้พลาดโอกาสคว้ากระเป๋า[122] ในรอว์ (15 กรกฎาคม 2013) พังก์ออกมาพูดเรื่องของเฮย์แมน และเฮย์แมนก็ออกมาตอบโต้ เฮย์แมนบอกว่า พังก์เป็นแชมป์ 434 วันได้เพราะเขา ถ้าไม่มีเขาแล้ว พังก์ก็ไม่ใช่ "สุดยอดที่สุดในโลก" เฮย์แมนบอกอีกว่า พังก์มันเป็นคนไม่มีครอบครัว พ่อแม่ก็ไม่รักมัน เมียก็หาไม่ได้ ลูกไม่มี จะมีก็แต่คนดูพวกนี้เท่านั้น และสาเหตุที่ว่าทำไมเขาต้องหักหลังพังก์ ก็เป็นเพราะว่า พังก์ไม่สามารถเอาชนะเลสเนอร์ได้ พังก์ก็บอกว่าจะอัดเฮย์แมน และคนของเฮย์แมนทุกคน เลสเนอร์ออกมาเล่นงานพังก์ ทั้งจับเหวี่ยงกระเด็นไปมา เหวี่ยงใส่โต๊ะผู้บรรยาย จับหลังไปกระแทกเสาเวที และสุดท้ายก็จับใส่ F-5 ลงบนโต๊ะผู้บรรยายจนหมดสภาพ[123] ในรอว์ (12 สิงหาคม 2013) พังก์ได้เจอกับเฮย์แมน แต่เฮย์แมนกลับเรียกเลสเนอร์ออกมาและเปิดคลิปวิดีโอที่เลสเนอร์เล่นงานพังก์ มาตลอดที่เจอกันหลายครั้ง เฮย์แมนเรียกพังก์ออกมาเจอกับเขา แต่ต้องเป็นแมตช์ 2 ต่อ 1 เท่านั้น เพลงของพังก์ดังขึ้น แต่พังก์โผล่มาจากอีกด้านของเวทีแล้วใช้กล้องถ่ายทอดสดฟาดเลสเนอร์ไม่ยั้ง จากนั้นก็ต่อด้วยเก้าอี้ เฮย์แมนพยายามวิ่งหนีพังก์ และ เคอร์ติส แอ็กเซล ก็ออกมาอีกคน แต่ก็โดนเก้าอี้ฟาดและใส่ GTS เข้าไปอีก โดยเลสเนอร์จ้องมองพังก์ด้วยความแค้น[124] ในศึก ซัมเมอร์สแลม (2013) พังก์ได้เจอกับเลสเนอร์ แต่พังก์ก็ไม่สามารถเอาชนะเลสเนอร์ได้[125]

ในรอว์ (19 สิงหาคม 2013) พังก์ออกมาพูดเกี่ยวกับแมตช์ที่เจอกับเลสเนอร์ เฮย์แมนออกมาพร้อมกับแอ็กเซล เพื่อให้แอ็กเซลกระทืบพังก์ แต่กลายเป็นโดนพังก์เล่นงานจนหมดสภาพ เฮย์แมนมาขัดขวางไว้ ทำให้แอ็กเซลได้โอกาสเอาเก้าอี้มาฟาดและกระแทกซ้ำๆ ใส่ขาพังก์ที่บาดเจ็บอยู่ แอ็กเซลปิดบัญชีด้วยท่าไม้ตาย Neckbreaker จากนั้นก็เอาเก้าอี้มาหนีบขาพังก์ ก่อนจะขึ้นเชือกแล้วกระโดดลงมา แต่พังก์กลิ้งหลบได้ทันแล้วเอาเก้าอี้ไล่ฟาดแอ็กเซล ก่อนจะจับ GTS ลงบนขั้นบันไดเหล็ก ในไนท์ออฟแชมเปียนส์ (2013) พังก์ได้เจอกับเฮย์แมนและแอ็กเซล ในแฮนดิแคป 2 ต่อ 1 ไม่มีกฏกติกา แบบคัดออก โดยในแมตช์พังก์ได้ถูกไรแบ็กเล่นงานจนแพ้ให้กับเฮย์แมน ในแบทเทิลกราวด์ พังก์เอาชนะไรแบ็กไปได้ ในรอว์ (14 ตุลาคม 2013) แบรด แมดด็อกซ์ ได้ประกาศจัดแมตช์ให้ไรแบ็กเจอกับอาร์-ทรูธ และพังก์เจอกับแอ็กเซล ในการแข่งขันแบบ Beat the Clock ใครชนะก็ให้ฝ่ายนั้นกำหนดเงื่อนไขในเฮลอินเอเซล (2013) โดยไรแบ็กเอาชนะทรูธไปด้วยเวลา 5:44 นาที และพังก์ก็เอาชนะแอ็กเซลไปด้วยเวลา 5:33 ทำให้พังก์มีสิทธิ์เลือกแมตช์โดยพังก์เลือกแมตช์ให้เป็นแฮนดิแคปกับไรแบ็กและเฮย์แมนในกรงเหล็กเฮลอินเอเซล สุดท้ายแล้วพังก์ก็เป็นฝ่ายชนะและล้างแค้นเฮย์แมนได้สำเร็จ[126] ในรอยัลรัมเบิล (2014) พังก์ได้ร่วมปล้ำแมตช์รอยัลรัมเบิล โดยออกมาเป็นลำดับแรก สุดท้ายแล้วพังก์ก็ไม่ได้เป็นผู้ชนะ โดยเคนได้มาเล่นงานพังก์จนตกรอบ[127]

การแยกทางกับ WWE

พังก์ได้มีปัญหากับ WWE และได้ขอลาออก ทางสมาคมก็จัดการตอบโต้พังก์ด้วยการลบชื่อออกจากตารางการปล้ำทั้งหมด เดิมทีพังก์มีคิวต้องเจอกับ ทริปเปิล เอช ในศึก เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 30 โดย WWE ได้เปลี่ยนแผนให้ ทริปเปิล เอช ไปเจอกับ แดเนียล ไบรอัน แทนแล้ว สาเหตุที่พังก์ออกจาก WWE นั้น อาจเป็นเพราะปัญหาที่สะสมหลายอย่างไม่ว่าจะ ความเหนื่อยล้า, อาการบาดเจ็บ, ความแตกต่างในสิ่งที่ WWE มองว่านั่นคือ big push ที่เหมาะสมกับพังก์ ซึ่งพังก์รู้สึกอีกอย่างนึง โดยเฉพาะการที่ต้องเจอกับ ทริปเปิล เอช ในเรสเซิลเมเนีย ที่ผ่านมา พังก์ก็เคยพูดเอาไว้แล้วว่าเขาอาจจะรีไทร์ในปี 2015 ในขณะที่เป้าหมายสูงสุดคือการได้เป็นคู่เอก เรสเซิลเมเนีย สักครั้ง และพังก์ก็เป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านการกลับมาของอดีตสตาร์ชื่อดังที่มักจะมาแบบพาร์ทไทม์แล้วมาแย่งบทเด่นๆ ไปจากสตาร์หน้าใหม่ๆ เสมอ ทั้งนี้สัญญาของพังก์กับ WWE ก็จะหมดลงในเดือนกรกฎาคม 2014[128][129][130] ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ วินซ์ แม็กแมน ได้พูดถึงสถานะของพังก์กับสมาคมต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก ระหว่างที่มีการประชุม conference call กับผู้ถือหุ้นของสมาคม โดยผู้ถือหุ้นได้ถามวินซ์ว่า สถานะของพังก์กับสมาคมตอนนี้เป็นไงบ้าง ซึ่งวินซ์ก็ยอมรับว่า พังก์ถือเป็นสตาร์ที่สำคัญที่สุดคนนึงของสมาคม ก่อนจะบอกว่า "เขากำลังอยู่ในช่วงหยุดพักผ่อน ปล่อยเขาไปก่อน"[131][132] ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมพังก์ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อแห่งหนึ่ง โดยบอกว่าเขาได้รีไทร์แล้ว[133] ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2014 พังก์ได้ยุติการทำงานกับ WWE แล้ว หลังจากหน้าประวัติของเขาในเว็บไซต์ WWE.COM ถูกย้ายไปอยู่หมวดศิษย์เก่า Alumni[134] ในปลายเดือนกรกฎาคม พังก์ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว และได้พูดถึง WWE ด้วย ซึ่งนักข่าวได้ถามคำถามเกี่ยวกับโอกาสที่จะกลับมา WWE อีกครั้ง ซึ่งพังก์ก็ตอบกลับว่า "ไม่มีวัน มันไม่มีทางตลอดไป"[135][136]

ในเดือนพฤศจิกายน 2014 พังก์ได้เปิดใจเล่ารายละเอียดถึงสาเหตุที่เขาตัดสินใจออกจาก WWE ทั้งที่ยังไม่หมดสัญญาเมื่อช่วงต้นปี โดยเขาได้ไปออกรายการวิทยุ Art of Wrestling ที่ดำเนินรายการโดย โคลต์ คาบานา เพื่อนซี้ของเขาเอง[137] พังก์บอกว่าเขาออกจาก WWE หลังจบ รอยัลรัมเบิล ด้วยเหตุผลหลักคือเขามีอาการบาดเจ็บหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นซี่โครงร้าว, ศีรษะกระทบกระเทือน, เข่าพัง ซึ่งเขาต้องทนปล้ำทั้งที่บาดเจ็บมาโดยตลอด อีกทั้งยังเคยเป็นไข้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนระหว่างที่ WWE กำลังทัวร์ยุโรปด้วย แพทย์ WWE ต้องจ่ายยาให้เขาเยอะมากในตอนที่เขาเกิดอุบัติเหตุในสแมคดาวน์ แถมเงินเดือนของเขาก็น้อยลงอีกต่างหาก พังก์บอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เขารู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต พังก์บอกว่าเขาบาดเจ็บศีรษะกระทบกระเทือนตั้งแต่ช่วงต้นแมตช์ รอยัลรัมเบิล ซึ่งเขาก็ทนปล้ำจนจบ แต่ในวันรุ่งขึ้นแพทย์กลับบอกว่าเขาผ่านความฟิตขึ้นปล้ำได้ในรอว์ ซึ่งพังก์บอกว่าผลการทดสอบนี้มันมั่วมากๆ และในวันเดียวกันนั้นเขายังต้องตรวจหาสารกระตุ้น อีกทั้งยังต้องเซ็นเอกสารเพื่อขอวีซ่าไปทัวร์ต่างประเทศกับ WWE อีกด้วย พังก์ยังบอกอีกว่า ทริปเปิล เอช สกัดดาวรุ่งเขาในปี 2011 และบ่นเรื่องที่ วินซ์ แม็กแมน ไม่ยอมฟังไอเดียของเขาในการเขียนบท อีกทั้งยังบอกว่าการที่ แดเนียล ไบรอัน ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นคู่เอก เรสเซิลเมเนีย (ในขณะนั้น) ว่าเป็นเรื่องที่งี่เง่ามาก ตอนที่เขาบอกกับวินซ์ และทริปเปิล เอช ว่าเขาจะกลับบ้านแล้วนั้น วินซ์ได้กอดอำลาเขาทั้งน้ำตาและบอกว่า พังก์เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกับพวกเขา แต่หลังจากนั้น พังก์ก็ถูก WWE สั่งแบนเป็นเวลา 2 เดือนโดยวินซ์ ส่งเมสเซจมาบอกให้เขารู้ (ช่วงที่มีข่าวออกมาว่าวินซ์แจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบในที่ประชุมว่า พังก์ลาพักร้อน) แต่พอครบ 2 เดือนก็ไม่มีการติดต่อใดๆ จาก WWE เลยว่าจะเอาอย่างไรต่อไป สุดท้ายก็ส่งเอกสารการยกเลิกสัญญามาให้พังก์อ่านในเดือนมิถุนายน โดย WWE บอกว่า พังก์ละเมิดข้อตกลงในสัญญาทำให้ WWE มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาได้ พังก์จึงได้ว่าจ้างทนายความเพื่อต่อสู้กับคำกล่าวหาของ WWE ที่ว่าเขาละเมิดสัญญาให้ได้ ซึ่งในที่สุด พังก์ กับ WWE ก็ตกลงกันได้และพังก์ ก็ได้รับในสิ่งที่เขาเรียกร้องทั้งหมด แต่เขาไม่สามารถบอกรายละเอียดของการไกล่เกลี่ยได้ และเขากับ WWE จบสิ้นกันแล้ว แม้ว่า WWE จะพยายามจะทำข้อตกลงร่วมกับเขาแต่เขาก็ตอบกลับไปว่า "ไปไกลๆ เลย" WWE กลัวว่า พังก์จะไปร่วม TNA แต่ทนายของพังก์ ก็ยืนยันแล้วว่า พังก์ไม่คิดจะกลับไปเป็นนักมวยปล้ำในตอนนี้และอาจจะไม่ปล้ำอีกเลยในอนาคต[138][139]

วินซ์ แม็กแมน ได้ให้สัมภาษณ์สดในรายการ เดอะ สตีฟ ออสติน โชว์ ซึ่งออกอากาศทาง WWE Network โดยวินซ์ ได้ขอโทษเรื่องที่ยกเลิกสัญญาเขาในวันแต่งงานนั้นเป็นเหตุบังเอิญ[140] หลังจากการกล่าวของโทษของวินซ์นั้น พังก์ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการวิทยุ Art of Wrestling ของ โคลต์ คาบานา ตอนสอง และโต้กลับเรื่องการกล่าวขอโทษของวินซ์ว่า "ฉันไม่อยากได้ยินว่ามันเป็นเหตุบังเอิญ ฉันไม่อยากได้ยินว่าฝ่ายกฎหมายกับฝ่ายบุคคลไม่ได้คุยกัน ฉันบอกกับ ทริปเปิล เอช ไปในวันที่ 11 มิถุนา แล้ววันที่ 13 มิถุนาก็มีจดหมายส่งมาหาฉันอย่างรวดเร็ว ฉันได้รับจดหมายที่จ่าหัวว่าวันที่ 12 มิถุนา นอกจากนี้ภรรยาของฉันขอพักงานเพื่อจะได้มาแต่งงาน แล้วหลังจากเสร็จฮันนีมูนเธอก็กลับไปคืนจอ พวกเขารู้ หากการขอโทษนั้นจริงใจจริงๆ คุณไม่ควรจะขอโทษต่อสาธาณะแบบจอมปลอมผ่านรายการของ Austin อย่างนั้น คุณก็มีเบอร์โทรศัพท์ผม มีที่อยู่ผม คุณควรจะส่งข้อความ คุณควรจะโทรหา คุณควรจะมาหาผมตอนที่คุณอยู่ห่างจากบ้านผมเพียงขับรถแค่ 10 นาที แล้วขอโทษผมอย่างลูกผู้ชาย นั่นถึงจะจริงใจ ฉันเบื่อ เจ็บปวด และเหนื่อยล้า ฉันถึงเดินออกจากสมาคม และฉันสามารถทำมันได้เพราะฉันคือผู้ที่ทำสัญญาด้วยตัวเอง (independent contractor) ฉันถูกแบน แล้วก็ไม่มีใครติดต่อมาหาฉันหลังครบกำหนดแบน ไม่มีใครบอกว่า "คุณพ้นแบนแล้วนะ เราอยากให้คุณมารอว์" เมื่อหลายปีก่อนโทรศัพท์นั้นเคยโทรมาหาฉัน หนึ่งวันหลังผ่าตัดศอก, หนึ่งวันหลังผ่าตัดเข่า แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่โทรละ? บางทีใน 2 เดือนนั้นฉันอาจจะรู้สึกดีขึ้นและคิดพิจารณา แต่ไม่มีใครทำเพราะไม่มีใครสนใจ นั่นคือการขอโทษแบบจอมปลอมต่อสาธารณะ แสดงความเป็นลูกผู้ชายแล้วโทรหาฉันสิ มันต้องทำแบบนี้ สุดท้ายพังก์ บอกว่า "ฉันชื่นชมกับคำพูดนั้น แต่ไม่คิดว่ามันจริงใจ"[141]

ในเดือนพฤศจิกายน 2019 พังก์ได้ปรากฏตัวอย่างเซอร์ไพรส์ทางช่อง Fox Sports 1 ในรายการ WWE Backstage โดยร่วมทำหน้าที่เป็นพิธีกรนักวิเคราะห์พิเศษ[142]

ออลอีลิตเรสต์ลิง

ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2021 แหล่งข่าวหลายแห่งเริ่มรายงานว่าพังก์ได้เซ็นสัญญากับ All Elite Wrestling (AEW)[143][144] วันที่ 20 สิงหาคม พังก์ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ AEW ใน The First Dance ของรายการ Rampage พร้อมประกาศว่าจะกลับมาสู่มวยปล้ำอาชีพหลังจากรีไทร์ 7 ปี ก่อนจะท้า Darby Allin เจอกันในศึก All Out และเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้[145][146] ในศึก Double or Nothing 2022 พังก์สามารถคว้าแชมป์โลก AEWได้จากอดัม เพจเป็นแชมป์เส้นแรกของพังก์ในรอบ 9 ปี[147] ก่อนจะแพ้แชมป์เฉพาะกาลอย่างจอน ม็อกซ์ลีย์ในการรวมแชมป์โลก 2 เส้น[148] และชิงคืนได้เป็นสมัยที่ 2 ในศึก All Out 4 กันยายน 2022

แหล่งที่มา

WikiPedia: ซีเอ็มพังก์ http://slam.canoe.ca/Slam/Wrestling/2009/01/20/808... http://slam.canoe.ca/Slam/Wrestling/2010/05/23/140... http://slam.canoe.ca/Slam/Wrestling/2010/07/16/147... http://slam.canoe.ca/Slam/Wrestling/2010/09/20/154... http://slam.canoe.ca/Slam/Wrestling/2010/09/25/154... http://slam.canoe.ca/Slam/Wrestling/2010/10/12/156... http://slam.canoe.ca/Slam/Wrestling/2010/12/21/166... http://slam.canoe.ca/Slam/Wrestling/2011/05/01/180... http://slam.canoe.ca/Slam/Wrestling/2013/03/05/206... http://slam.canoe.ca/Slam/Wrestling/PPVReports/200...