การถูกทำเป็นยา ของ ตุ๊กแกบ้าน

ตุ๊กแกถูกใช้เป็นยามาตั้งแต่โบราณ แพทย์แผนจีนใช้เป็นยาแก้โรคหอบ บำรุงปอด บำรุงไต และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ส่วนในตำรายาไทย จะถลกหนังเอาแต่เนื้อทั้งตัว เอาไส้ในออก ตำเกลือ พริกไทย กระเทียม ทาปิ้งให้เด็กกิน ถือว่าเป็นยาบำรุงร่างกายแก้ซางขโมย หรือนำเอาส่วนหางไปบดและใช้กวาดคอเพื่อแก้อาการเจ็บคอ[5]

ราวกลางปี พ.ศ. 2553 ปรากฏเป็นข่าวฮือฮาทางสื่อมวลชนต่าง ๆ ว่า มีพ่อค้าชาวจีนในมาเลเซียและสิงคโปร์ได้เหมาซื้อตุ๊กแกจากชาวไทยเพื่อจะนำไปทำเป็นยารักษาโรคเอดส์และมะเร็ง โดยให้ราคาที่สูงมากนับแสนบาท โดยคิดราคาตามน้ำหนักตัว และตัวที่มีน้ำหนักถึง 5 ขีด ให้สูงถึงตัวละ 10 ล้านบาท

ข่าวนี้ทำให้มีการตื่นตัวอย่างมากในการจับตุ๊กแกส่งขายและเพาะเลี้ยงกันตามบ้าน แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเป็นเพียงการปั่นกระแสกันมากกว่า อีกทั้งผลพิสูจน์ทางการแพทย์ก็ยังไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการ แม้จะมีความเชื่ออยู่บ้างของชาวบ้านในบางพื้นที่ที่มีการรับประทานจิ้งจกและตุ๊กแกอยู่แล้วว่าเป็นยาบำรุงต่าง ๆ ก็ตาม[4]

นอกจากนี้แล้วทางผู้เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์เลื้อยคลานก็ระบุตรงกันว่า ที่ผ่านมายังไม่เคยพบตุ๊กแกตัวไหนที่มีน้ำหนักถึง 4-5 ขีดตามที่เป็นข่าว อาจจะพบมีบางตัวบ้างที่หนักถึง 4 ขีด แต่ก็น้อยมาก จึงเชื่อว่าเป็นการปั่นกระแสกันมากกว่า นอกจากนี้แล้วผู้ที่ทำการเพาะขยายพันธุ์ตุ๊กแกเพื่อการค้านี้ ก็พบว่าไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากเป็นสัตว์ที่ชอบกัดและกินกันเอง หากตัวไหนหางขาดก็จะขายไม่ได้ราคา อีกทั้งมีอัตราการเจริญเติบโตที่ช้าจึงไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน[4]