ถ้ำฤๅษีเขางู

ถ้ำฤๅษี เป็นถ้ำที่ตั้งอยู่หน้าสุด บริเวณเชิงเขาด้านสวนสาธารณะเขางู ตำบลเกาะพลับพลา อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี พบพระพุทธรูปจำหลักหรือพระพุทธรูปที่สลักบนฝาผนังถ้ำ 2 องค์ องค์แรกประทับห้อยพระบาท (ปรลัมพปาทาสนะ) พระหัตถ็ขวาอยู่ในปางแสดงธรรม (วิตรรกมุทรา) พระหัตถ์ซ้ายวางในพระเพลา ลักษณะท่าที่ประทับมีความใกล้เคียงกับพระประธานอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ ที่ได้มาจากวัดหน้าพระเมรุ จังหวัดนครปฐม จากลักษณะดังกล่าวจึงเป็นประเด็นที่นักวิชาการได้ตีความออกมาหลายทาง กล่าวคือรศ.ดร.ผาสุข อืนทราวุธ คณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร แสดงความเห็นไว้ในหนังสือ ทวารวดี:การศึกษาเชิงวิเคราะห์จากหลักฐานทางโบราณคดี[1] มีใจความว่า พระพุทธรูปขนาดใหญ่ในอิริยาบถประทับนั่งห้อยพระบาทแบบยุโรป ที่พบที่เมืองนครปฐมโบราณละเมืองราชบุรี เป็นรูปแบบนิยมของชาวพุทธที่นับถือนิกายมหายานในอินเดียถาคเหนือ (รูปแบบศิลปกรรมสมัยคุปตะและหลังคุปตะ) และภาคตะวันตก ในช่วงพุทธศตวรรษที่12 – 13 ดังจะเห็นตัวอย่างจาก ภาพสลักรูปพระพุทธเจ้านั่งห้อยพระบาทอยู่ในซุ้มหน้าสถูปเจติยสถานหมายเลข 26 และประดับผนังภายในเจติยสถานหมายเลขที่ 19 ที่ถ้ำอชัญฏาศาสตราจารย์พิเศษ ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์[2] อาจารย์คณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ผู้อำนวยการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความเห็นไว้ในหนังสือ อารยธรรมไทย พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ศิลปะ เล่ม1 ศิลปะก่อนพุทธศตวรรษที่ 19[3] ว่า นิการเถรวาทนิยมสร้างรูปพระสมณโคดมประทับห้อยพระบาท (ปรลัมพปาทาสนะ) พระหัตถ์ขวาอยู่ในปางแสดงธรรม (วิตรรกมุทรา) พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา พระพุทธรูปห้อยพระบาทในถ้ำฤๅษีนั้น ก็เป็นพระสมณโคดม มีจารึกภาษาบาลีและมอญระหว่างพระบาทผศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร แสดงความเห็นไว้ในหนังสือศิลปะทวารวดี วัฒนธรรมพุทธศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย[4] ว่า พระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาท (แบบยุโรป) ปางแสดงธรรม เป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดสมัยทวารวดี มีรูปแบบคือ พระพุทธรูปประทับเหนือบัลลังก์ห้อยพระบาทสองข้าง พระชงฆ์แยกห่างจากกัน ส้นพระบาทชิดกัน จีบพระอังคุฐกับดัชนีเป็นวงกลม และวางพระหัตถ์ซ้ายไว้บนพระเพลา จะต่างกับแบบคุปตะที่ ของคุปตะจะแสดงวิตรรกมุทราด้วยการจีบพระหัตถ์ขวาเป็นวงกลม ส่วนพระหัตถ์ซ้ายประคองไว้ บริเวณระหว่างพระบาทมีจารึกว่า ‘ปุญกรมชฺระ ศฺรีสมาธิคุปฺต’ แปลว่า ‘พระศรีสมาธิคุปตะ ผู้มีบุญอันประเสริฐ ’ หรือ ‘การบุญของฤๅษี ... ศรีสมาธิคุปตะ’จารึกถ้ำเขางูนี้มีการเสนอความคิดเห็นไว้อย่างหลากหลาย ทั้งด้านลักษณะอักษร ภาษา คำแปล และความหมายต่างๆกล่าวคือแนวคิดเป็นภาษาบาลี ในฝั่งนี้มีนักวิชาการเสนอไว้ท่านเดียวคือ ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์[5] ที่เสนอว่า จารึกอักษรนี้เป็นภาษามอญและภาษาบาลี แปลว่า ‘การบุญของฤๅษี ... ศรีสมาธิคุปตะ’แนวคิดว่า จารึกเป็นภาษาสันสกฤต ในฝั่งนี้มีนักวิชาการเสนอไว้หลายท่านว่าเป็นอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต แต่ในด้านคำอ่านและความหมายกลับีความเห็นแตกต่างกันออกไป ในข้างต้น ผู้ที่ได้อ่านคำอ่านและคำแปลของจารึกนี้อาจเข้าใจคำว่า ‘คุปตะ’ ในแง่ของชื่อราชวงศ์หรือยุคสมัยของอินดียที่มีอิทธิพลต่อศิลปะสมัยทวารวดี แต่ก็มีรายงานการศึกษาหลายชิ้นที่เสนอว่าน่าจะหมายถึงชื่อบุคคลจากการสำรวจข้อมูลจากหนังสือและบันทึกของนักวิชาการท่านต่าง ๆ เกี่ยวกับจารึกนี้ของตรงใจ หุตางกูร นักวิชาการ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร จะทำให้เห็นพัฒนาการของการค้นคว้าจารึกและผู้ศึกษาจารึกในช่วงแรก ว่า พันตรี เดอ ลาช็องกีแอร์ เคยสำรวจถ้ำฤๅษีเขางูนี้ แต่ไม่ได้สังเกตเห็นจารึก ต่อมา ศ. ยอร์ช เซเดส์ ได้อ่านจารึกนี้ มีคำอ่านว่า ปุญ วฺระ ฤษิ -- ศฺรีสมาธิคุปต แต่ไม่ได้แปลไว้ ต่อมาในปี2529 นายชะเอม แก้วคล้าย ผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณของกรมศิลปากร ได้อ่านและแปลอีกครั้ง แต่พบว่าก่อนที่นายชะเอมจะอ่านจารึกนี้ ได้มีคนลักลอบมาแก้ไขจารึกนีไปแล้ว[6]อีกฟากของผนังถ้ำฤๅษีนี้มีพระพุทธรูปยืนปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ เป็นศิลปะสมัยทวารวดี นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปปางสมาธิอื่นๆอีกหลายองค์