ปรัชญาความคิด ของ ทิวซิดิดีส

ทิวซิดิดีส ได้รับความเคารพโดยทั่วไปว่าเป็นหนึ่งในนักประวัติศาสตร์ที่แท้จริงคนแรก ๆ ของโลก เช่น เฮโรโดตัส (นิยมเรียกว่า บิดาแห่งประวัติศาสตร์) ทิวซิดิดีสให้ความสำคัญอย่างสูงต่อการพิสูจน์หลักฐานอย่างละเอียด และการบันทึกคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ รวมถึงคำบรรยายเหตุการณ์ที่ตัวเองได้มีส่วนร่วมอย่างตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ท่านยังใช้ความอุตสาหะในการทบทวนและตรวจดูความถูกต้องจากบันทึกในเอกสาร และตามคำบอกเล่าของผู้ที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์จริง ที่สำคัญที่สุดคือ ทิวซิดิดีสเป็นนักประวัติศาสตร์คนแรกที่ไม่ปักใจเชื่อ หรือพอใจอ้างอิงคำบอกกล่าวของกวี โดยไม่คิดวิเคราะห์ด้วยหลักฐานเสียก่อน งานเขียนของท่านจึงไม่ได้อิงกับตำนานหรือเทพนิยายอย่างสมัยนิยม ซึ่งแม้แต่อย่างข้อเขียนทางปรัชญาของเพลโต ผู้เป็นนักเขียนสมัยหลังทิวซิดิดีส ก็ยังพึ่งพาเทพปรกณัมอย่างมากในการตั้งของสัณนิษฐาน นอกจากนี้ทิวซิดิดีสยังไม่ให้ความสำคัญกับอำนาจของเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะมายุ่งเกี่ยว หรือบงการความเป็นไปของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ต่างจากเฮโรโดตัสที่มักโทษความหยิ่งยโสโง่เขลา (hubris) ของมนุษย์ว่า เป็นเหตุให้พระเป็นเจ้ามาลงโทษ

วิธีวิทยาทางประวัติศาสตร์

งานเขียนทางประวัติศาสตร์ของทิวซิดิดีส ได้แก่ ประวัติศาสตร์ของสงครามเพโลพอนนีเซียน รับการแยกออกเป็นหนังสือจำนวน 8 เล่มหลังจากที่เขาเสียชีวิต งานชิ้นนี้เป็นความทุ่มเททางประวัติศาสตร์ของเขาที่จะบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์การเมืองและการสู้รบ ของมหาสงคราม 27 ปี ระหว่างนครเอเธนส์และพันธมิตร กับฝ่ายสปาร์ต้า เนื้อหาของบันทึกหยุดลงใกล้กับช่วงสิ้นสุดปีที่ 21 ของสงคราม และไม่ได้บรรยายไปถึงเหตุการณ์ในตอนท้ายของสงคราม (ส่วนที่เหลือของสงครามได้รับการบรรยายต่อจนจบในงานเขียนของ เซโนฟอน (Xenophone) นักการทหาร และนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก) มีเพียงข้อมูลที่ถูกร่างอย่างคร่าว ๆ ระบุว่าการเสียชีวิตของทิวซิดิเดสเกิดขึ้นแบบไม่มีใครคาดหมาย และเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันหรือถูกทำร้าย ทิวซิดิดีสเชื่อว่ามหาสงครามเพโลพอนนีซ ในตอนปลาย ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล เป็นเหตุการณ์สำคัญในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก ไม่ว่าในบันทึกของชาวกรีกเอง หรือของชาติอื่น เขาจึงตั้งใจอุทิศบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้แก่โลกเพื่อให้เป็นประโยชน์ดั่งเช่น “สมบัติแก่อนุชนไปชั่วกาลสมัย"

ความแตกต่างหลัก ๆ ข้อหนึ่งระหว่างงานเขียนประวัติศาสตร์ของทิวซิดิดีสและงานเขียนประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ก็คือ งานเขียนของทิวซิดิดีสจะประกอบด้วยคำพูดสนทนา และคำแถลงแบบเป็นทางการ หรือรวมเอาคำให้การที่มีความยาวพอสมควรไว้ ซึ่งตัวทิวซิดิดีสเองยอมรับว่าบทสนทนาพวกนี้เป็นเนื้อหาที่ไม่ได้ตรงกับคำพูดจริง ๆ ทั้งหมด แต่เป็นการ"บูรณะ" (reconstruct) ขึ้นใหม่ตามคำให้การของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ หรือความจำของตัวเขาเอง โดยนักประวัติศาสตร์ปัจจุบันเชื่อว่าทิวซิดิดีสใส่ความเห็นของตนลงไปด้วยในคำพูดเหล่านั้น หรือตามความเข้าใจและการตีความของเขาเองต่อเนื้อหาของสิ่งที่พูดว่าควรเป็นอย่างไร อย่างไรก็ดีนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในสมัยนั้น ที่จะรักษาความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่เคยพูดไว้ได้ เพราะหากทิวซิดิดีสไม่ทำเช่นนั้น เนื้อหาของบทสนทนาทางประวัติศาสตร์คงจะไม่เหลือรอดอยู่เลย ซึ่งไม่เหมือนกับกรณีของยุคสมัยใหม่ที่ทีเทคโนโลยีที่สามารถบันทึกและเก็บรักษาเอกสารคำให้การจำนวนมาก ๆ ดังนั้นทิวซิดิดีสจึงไม่แค่เพียง “เขียนตามหลักฐาน” แต่เป็นการช่วยไม่ให้แหล่งข้อมูลบอกเล่าด้วยปากถูกลืมเลือนไปโดยสิ้นเชิงด้วย ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดชิ้นนึงของบันทึกคำบอกเล่าที่ทิวซิดิสรักษาไว้ ได้แก่ คำสุทรพจน์ไว้อาลัยผู้ตายในสงครามของเพริคลีส หรือ สุนทรพจน์ไว้อาลัยของเพริคลีส (Pericles' funeral oration) ซึ่งเป็นตำอธิบายและเชิดชูคุณค่าทางศีลธรรมของสังคมประชาธิปไตย จากปากของเพริคลีส ผู้เป็นรัฐบุรุษและผู้นำของชาวเอเธนส์ และถือเป็นงานวรรณกรรมเกี่ยวกับประชาธิปไตยที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนนึงของข้อความนั้นเป็นภาษิตว่า:

โลกทั้งใบคือสุสานของมนุษย์ผู้ลือนาม บุรุษพวกนี้มิได้เพียงแค่ถูกระลึกถึง โดยแนวเสาหินหรือเพียงคำไว้อาลัยในแผ่นดินของตนเอง แต่ยังถูกจดจำในต่างแดน ในความทรงจำที่มิใช่เพียงบันทึกบนแผ่นศิลา หากเป็นในหัวใจและความนึกคิดของผู้คนแม้จะอยู่ต่างถิ่น— สุนทรพจน์ไว้อาลัยของเพริคลีสต่อชาวเอเธนส์[4]

บุกเบิกแนวคิดสัจนิยมทางประวัติศาสตร์

ความถูกผิดชอบธรรม (δίκαιος) ตามความเข้าใจของนรชนในโลกนี้ เป็นเรื่องที่เคารพปฏิบัติก็แต่ระหว่างฝ่ายที่ถูกผูกมัดด้วยธรรมเนียมนั้นเหมือน ๆ กัน แต่ผู้แข็งแกร่งย่อมทำได้ตามที่ตนสามารถ ในขณะที่ผู้อ่อนแอมีแต่ต้องทนรับ— บทสนทนาระหว่างผู้ถือสารของจักรวรรดิเอเธนส์และผู้ปกครองนครเมลอส[5]

ทิวซิดิดีสพิจารณาว่าการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำถามทางจริยธรรมเสมอไป ท่านตั้งคำถามว่าความยุติธรรมและจารีตประเพณีจะมีบทบาทอย่างไร ต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐซึ่งมีอำนาจเป็นปัจจัยสำคัญ?[6] นักสัจจะนิยมมักจะตั้งแง่กับการนำประเด็นทางศีลธรรมมาเกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศ และบางคนก็เถียงว่าไม่มีพื้นที่ให้กับคำถามทางศีลธรรมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือมิฉะนั้นก็อ้างว่ารัฐอธิปไตยย่อมมี "ศีลธรรมของตนเอง" ที่แตกต่างไปจากศีลธรรมตามจารีตประเพณี ด้วยเหตุนี้นักสัจจะนิยมจึงมองธรรมชาติของมนุษย์ว่ามีความเห็นแก่ตัว และมักคล้อยไปทางความหลงมัวเมาในอำนาจ จนมักจะเอาประโยชน์ส่วนตัวมาอยู่เหนือหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมอยู่ตลอดเวลา[7]

อะโครโพลิส ในกรุงเอเธนส์ซากปรักหักพังในสปาร์ตา

ด้วยสาเหตุนี้นักสัจจะนิยมจึงคิดว่าสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ - ซึ่งไม่มีกลไกถาวรจะมาสร้างและบังคับใช้กฎเกณฑ์ทางจารีต หรือศีลธรรม - เป็นพื้นที่ที่แต่ละรัฐต้องรับผิดชอบความอยู่รอดของตัวเอง และมีอิสระเสรีเต็มที่ที่จะกำหนดผลประโยชน์ และแสวงหาอำนาจ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นพื้นที่อนาธิปไตย (anarchy) ที่อำนาจมีบทบาทสำคัญที่สุดที่จะกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ[8] แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนโดยบทสนทนาเมเลียน (Melian Dialogue)ระหว่างคณะทูตชาวเอเธนส์ และผู้ปกครองของนครเมลอส โดยขณะที่ฝ่ายเมลอสพยายามป้องกันความเป็นอิสรภาพของตนโดยอ้างหลักความยุติธรรม และความชอบธรรม[9] ผู้ถือสารจากเอเธนส์กลับเตือนให้ผู้ปกครองของเมลอสตระหนักถือแสนยานุภาพทางการทหารที่เหนือกว่าของเอเธนส์ ที่สามารถจะทำให้เมลอสพินาศได้ทุกเมื่อ[10]

แนวคิดสัจจะนิยมอธิบายว่า ประเทศทั้งหลายย่อมพยายามทำการทุกอย่างเพิ่มพูนอำนาจของตน และจะกระทำการใด ๆ เพื่อคาน หรือยับยั้งอำนาจของรัฐอื่นที่อยู่ในข่ายที่อาจเป็นภัยก้าวร้าวต่อความมั่นคงของรัฐตน ด้วยเหตุนี้สงครามจึงอาจเกิดขึ้นได้ เมื่อประเทศที่เคยทรงอำนาจมาก่อนเห็นว่ารัฐอีกรัฐหนึ่งกำลังขยายอำนาจคุกคามความมั่นคงของตนมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีวิธีการอื่นที่จะหยุดการเพิ่มพูนทางอำนาจของรัฐที่ตนเห็นว่าเป็นปรปักษ์ได้ จากเหตุผลดังกล่าวทิวซิดิดีสจึงระบุว่าสาเหตุของสงครามเพโลพอนนีเซียน เกิดจากการถ่ายเทอำนาจระหว่างสองขั้วอำนาจหลักของนครรัฐกรีก คือ ฝ่ายสันนิบาตดีเลียนภายใต้การนำของเอเธนส์ฝ่ายหนึ่ง และฝ่ายสันนิบาตเพโลพอนนีเซียนที่อยู่ภายใต้แสนยานุภาพทางทหารของสปาร์ตา (ซึ่งเป็นผู้นำทางการสงครามในภูมิภาคนี้มาแต่โบราณ) อีกฝ่ายหนึ่ง หรือพูดอีกอย่างคือ ทิวซิดิดีสเชื่อว่าการขยายอำนาจของเอเธนส์จนขึ้มมาเป็นจักรวรรดิ์ทางทะเล ทำให้ฝ่ายสปาร์ตาตัดสินใจเข้าสู่สงครามกับเอเธนส์[11]

การวิเคราะห์และตีความของนักวิชาการ

อย่างไรก็ดีหากพิจารณาจากบันทึกมหาสงครามเพโลพอนนีเซียนทั้งเล่มของท่าน จะเห็นได้ว่าทิวซิดิดีส ไม่ได้เป็นนักสัจจะนิยมสายแข็ง แต่ท่านกลับมุ่งแสดงให้ผู้อ่านเห็นว่า อำนาจย่อมนำไปสู่ความกระหายที่จะแสวงหาอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากไม่ถูกบั่นทอนเสียบ้างโดยสำนึกของความยุติธรรม ซึ่งความมัวเมาในอำนาจและความมั่งคั่งทางวัตถุของจักรวรรดินี้ อาจกลายเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่จะเอามาใช้เพื่อหาเสียงเข้าสู่อำนาจ จนประเทศชาติถูกชักนำไปสู่ความหายนะ ซึ่งนี่ก็เป็นชะตากรรมแบบเดียวกับที่เอเธนส์เผชิญในที่สุด เพราะชาวเอเธนส์ถูกชักนำให้มีความหยิ่งยโส คิดถึงแต่เรื่องผลประโยชน์ แต่ไม่ใส่ใจพิจารณาถึงความชอบธรรมทางจารีตประเพณีในการกระทำของตน พวกเขาจึงประเมินกำลังตัวเองสูงเกินไป และในที่สุดความกระหายอำนาจนั้นก็นำไปสู่ความพ่ายแพ้ต่อสปาร์ตาคู่อริ ดังนี้จะเห็นได้ว่าทิวซิดิดีวก็เอาภาพรวมของประวัติศาสตร์ มาอธิบายการล่มสลายของจักรวรดิเอเธนส์ว่าเกิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดต่อ ๆ กันมาเป็นอนุกรม เพราะถูกชักจูงโดยความโลภและขาดสติ ซึ่งเป็นแนวคิดที่คล้ายกับวรรณกรรมโศกนาฏกรรมของกรีก ด้วยเหตุนี้นักวิชาการสมัยใหม่จึงเริ่มแคลงใจที่จะจัดให้ ทิวซิดิดีส เป็นบิดาของสัจนิยมการเมือง (real politik) เหมือนอย่างในอดีต

รูปครึ่งตัวของทิวซิดิดีส ตั้งอยู่ ณ Royal Ontario Museum, โทรอนโท

นักวิชาการด้านกรีกโบราณ จาเคอลีน เดอ รอมิยี (Jacqueline de Romilly) เป็นคนแรกที่ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาในทางจริยศาสตร์เกี่ยวกับลัทธิจักรวรรดินิยมของเอเธนส์ เป็นหนึ่งในประเด็นที่ทิวซิดิดีสเพ่งความสนใจมากที่สุด และเธอชี้ว่าท่านวางงานเขียนประวัติศาสตร์ของตนไว้ ในบริบทของความคิดแบบกรีกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ การวิเคราะห์ของเธอกระตุ้นให้นักวิชาการหลายคน หันมาตั้งคำถามเกี่ยวกับมุมมองของทิวซิดิดีส ที่มีต่อ Realpolitik หรือแนวคิดสัจนิยมการเมือง จนระยะหลังมานี้ ความเชื่อว่าตัวทิวซิดิดีสเป็น "บิดาของสำนักความคิดสัจนิยมการเมือง" ถูกสั่นคลอนอย่างต่อเนื่อง นักวิชาการบางท่านรวมทั้ง ริชาร์ด เน็ด เลอโบ (Richard Ned Lebow) เห็นว่างานเขียนของทิวซิดิดีส อาศัยและอ้างอิงแนวคิดในบทกวีมหากาพย์ และโศกนาฏกรรมในวรรณกรรมกรีกอย่างมาก จนถึงขนาดว่าจะยกให้ท่านเป็น "นักประพันธ์โศกนาฏกรรมคนสุดท้าย"[12] ก็ไม่ผิดนัก ในมุมมองนี้ พฤติกรรมที่ไร้ศีลธรรม และอัปยศ หรือ ฮิวบริส (ὕβρις) ของชาวเอเธนส์ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องพบกับความหายนะ

ส่วนนักปรัชญาการเมือง ลีโอ สเตราส์ (ในหนังสือ The City and Man) เห็นว่าทิวซิดิดีสมีความรู้สึกขัดแย้งต่อวัฒนธรรมของชาวเอเธนส์ กล่าวคือในขณะที่สติปัญญาของตัวท่านเองเป็นผลผลิตของประชาธิปไตยแบบเพริคลีส ซึ่งให้เสรีภาพแก่ความกล้าคิดกล้าทำ ความกล้าเสี่ยงภัย และจิตวิญญาณที่ใฝ่ค้นหาคำตอบของปัจเจกบุคคล แต่เสรีภาพดังกล่าวในที่สุดก็ส่งเสริมความทะเยอทะยานทางการเมืองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนนำไปสู่ลัทธิจักรวรรดินิยม และความยุ่งเหยิงในประเทศ