สำหรับนกขุนแผนจำพวกอื่น ดูที่:
วงศ์นกขุนแผนนกขุนแผน หรือ
นกสาลิกาดง (
อังกฤษ: Red-billed blue magpie;
ชื่อวิทยาศาสตร์: Urocissa erythrorhyncha) จัดเป็น
นกขนาดเล็ก
ชนิดหนึ่ง อยู่ใน
วงศ์ Corvidae อันเป็น
วงศ์เดียวกับ
กานกขุนแผนเป็นนกที่มี
สีสัน
สวยงามมาก กล่าวคือ โดยมีบริเวณหัวถึงลำคอสีดำ ขนบริเวณลำตัวมี
สีฟ้าแกม
ม่วง ส่วนโคนปีกมีสีฟ้าแกมม่วง ด้านปลายปีก
สีขาว มีหางสวยงามและยาวมาก มีสีฟ้าแกมม่วงส่วนบริเวณปลายหางมีสีขาว มีขนหางคู่บนยาวกว่าคู่อื่น ๆ ปาก
สีแดง ขาสีแดง
ส้มและตา
สีดำ ทั้งตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก จนยากที่จะแยกได้ออกจากการมองแค่ภายนอกความยาวจากปลายปากถึงปลายหางประมาณ 65-68
เซนติเมตร และมีขนหางยาวมากราว 37-42 เซนติเมตร หรือ 2 ใน 3 ของความยาวจากปากถึงปลายหาง ขนหางค่อนข้างแข็ง มี 12 เส้น ซึ่งแต่ละคู่ยาวลดหลั่นกันลงไป โดยมีขนหางคู่บนสุดยาวที่สุด ซึ่งยาวกว่าขนหางคู่ที่ 5 อย่างเห็นได้ชัด ปลายขนหางแต่ละเส้นมีลักษณะมน ขนหางทุกเส้นมีสีฟ้าอมม่วง แต่ปลายขนหางแต่ละเส้นเป็นแถบสีขาว และเฉพาะปลายขนหางคู่ที่ 1 ถึงคู่ที่ 5 มีแถบสีดำถัดจากแถบสีขาวด้วย ปลายขนหางคู่ที่ 6 ซึ่งเป็นคู่บนสุดโค้งลงมาเล็กน้อยพบกระจายพันธุ์ตั้งแต่เชิงเขา
หิมาลัยจนถึง
จีน,
พม่า และภูมิภาค
อินโดจีน ใน
ประเทศไทยพบเกือบทุกภาคยกเว้น
ภาคใต้มีพฤติกรรมชอบอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ ตามป่าละเมาะ, ป่าโปร่ง มักส่งเสียงร้องขณะที่มันเริ่มออกหากิน บางเวลาอาจลงมาหากินตามพื้นดินหรือซอกก้อนหิน ซอกไม้ผุ ๆ อาหารได้แก่
แมลงชนิดต่าง ๆ เช่น
ด้วง,
ปลวก,
หนอน,
หอยทาก,
กิ้งก่า,
จิ้งจก,
จิ้งเหลน,
งู รวมทั้ง
ปาด,
ตะขาบ และ
หนู แม้แต่ไข่นกและลูกนกชนิดอื่นในรัง รวมทั้งซากสัตว์ด้วยฤดู
ผสมพันธุ์อยู่ในช่วงประมาณเดือน
มีนาคม-
พฤษภาคม จะทำรังโดยนำ
กิ่งไม้เล็กมาขัดสานกันเป็นแอ่งตรงกลาง และรองพื้นด้วย
รากไม้หรือ
ใบไม้ที่พอจะหาได้ในบริเวณนั้น ตัวเมียจะวางไข่ครั้งละ 3-6 ฟอง อยู่สูงจากพื้น 6-8
เมตร มีสถานะเป็น
สัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 แต่ก็นิยมเลี้ยงเป็น
สัตว์เลี้ยงเพราะสีสันและหางที่สวยงาม
[2]