นอร์ทรอป พี-61 แบล็กวิโดว์ เป็นชื่อที่ถูกตั้งมาจากแมงมุมสายพันธุ์อเมริกัน เป็นเครื่องบินรบเชิงปฏิบัติการรุ่นแรกของสหรัฐที่ถูกออกแบบมาเป็น
เครื่องบินขับไล่กลางคืนและเครื่องบินลำแรกที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้
เรดาร์[2][3] พี-61 นั้นมีลูกเรือสามคน ได้แก่ นักบิน พลปืน และผู้ควบคุมเรดาร์ มันได้ถูกติดตั้งอาวุธด้วยปืนใหญ่ที่ยิงไปขนาดหน้าด้วยขนาด 20 มม.(.79 นิ้ว) ฮิสปาโน เอ็ม2 ทั้งสี่กระบอกที่ติดตั้งอยู่ในด้านล่างของลำตัวเครื่องบิน และปืนกล
เอ็ม 2 บราวนิงด้วยกระสุนขนาด .50 นิ้ว(12.7 มม.)ทั้งสี่กระบอกที่ติดตั้งอยู่ในป้อมปืนด้านหลังที่ควบคุมจากระยะไกล มันเป็นโลหะทั้งหมด เครื่องยนต์สองเครื่อง ลำตัวแบบคู่ ที่ถูกออกแบบคิดค้นขึ้นในช่วง
สงครามโลกครั้งที่สอง[4] ได้รับการทดสอบบินครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1942 กับการผลิตเครื่องบินครั้งแรกที่ถูกยกเลิกออกจากสายการผลิตในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1943 เครื่องบินลำสุดท้ายได้ถูกปลดประจำการในปี ค.ศ. 1954แม้ว่าจะไม่ได้ผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก แบล็กวิโดว์ได้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพคือ เครื่องบินขับไล่ตอนกลางคืน โดยฝูงบินแห่ง
กองทัพอากาศทหารบกสหรัฐในเขตสงครามยุโรป
เขตสงครามแปซิฟิก เขตสงครามจีน พม่า อินเดีย และเขตสงครามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มันได้ถูกแทนที่เครื่องบินขับไล่ตอนกลางคืนที่ถูกออกแบบโดยบริติซก่อนหน้านี้ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้รวมเข้ากับเรดาร์เมื่อพร้อมใช้งาน ภายหลังสงคราม พี-61-ที่ถูกออกแบบขึ้นมาใหม่เป็น เอฟ-61 ประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐในฐานะที่เป็นเครื่องบินสกัดกั้นทั้งกลางวัน/กลางคืน ที่บินได้ระยะยาว และรับมือได้ทุกสภาพอากาศสำหรับกองบัญชาการป้องกันทางอากาศจนกระทั่งปี ค.ศ. 1948 และกองทัพอากาศที่ 5 จนกระทั่งปี ค.ศ. 1950 เมื่อคืนวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945 พี-61บีของฝูงบินเครื่องบินขับไล่ตอนกลางคืนที่ 548 ที่มีฉายาว่า เลดี้ในความมืด ได้มีชื่อเสียงอย่างไม่เป็นทางการกับชัยชนะทางอากาศครั้งสุดท้ายของ
ฝ่ายสัมพันธมิตรก่อน
วันชัยเหนือญี่ปุ่น[5] พี-61ยังได้ถูกดัดแปลงเพื่อสร้าง
เอฟ-15 รีพอร์เตอร์ เครื่องบินถ่ายภาพการลาดตระเวนสำหรับกองทัพอากาศทหารบกสหรัฐและต่อมาก็ถูกใช้งานโดย
กองทัพอากาศสหรัฐ[6]