อ้างอิง ของ น้ำอัดลม

    ประวัติความเป็นมาของ น้ำอัดลม

     คา เลบ แบรดแฮม ต้องการทำให้ร้านขายยากลายเป็นแหล่งนัดพบปะของผู้คน เขาทำอย่างที่เภสัชกรหลายๆคนทำ คือ มีตู้น้ำโซดาในร้านขายยา ซึ่งเขาบริการเครื่องดื่มแก่ลูกค้าด้วยน้ำโซดาที่เขาปรุงขึ้นเองโดยเป็นส่วน ผสมของน้ำคาร์บอเนต ผลโคล่า วานิลลา และน้ำมันหอมสกัด ลูกค้าของเขาพากันเรียกเครื่องดื่มนี้ว่า “Brad’s Drink” และคาเลบได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Pepsi-Cola” และ ได้ทำการโฆษณาเครื่องดื่มชนิดใหม่ของเขานี้ต่อลูกค้าที่ชื่นชอบ เมื่อยอดขายของเป๊ปซี่-โคลาเริ่มเพิ่มขึ้นเขาจึงเริ่มตั้งบริษัทและทำการ ตลาดให้กับเครื่องดื่มใหม่ของเขา จนในปี 1902 เขาเริ่มดำเนินกิจการบริษัท Pepsi-Cola ในห้องด้านหลังร้านขายยา เขาจดสิทธิบัตรเครื่องหมายการค้าและได้รับมอบสิทธิบัตรเมื่อ 16 มิถุนายน 1903

    ใน ตอนแรกเขาผสมเครื่องดื่มด้วยตัวเองและจำหน่ายผ่านตู้กดน้ำ แต่ในไม่ช้าคาเลบเริ่มรู้ตัวว่ามีโอกาสอันดีรออยู่ นั่นคือการบรรจุขวดเป๊ปซี่-โคล่า เพื่อที่ว่าทุกๆ คนในวงกว้างจะได้สามารถลิ้มรสเครื่องดื่มของเขาได้

     ธุรกิจเป๊ปซี่-โคลาเริ่มต้นด้วยโฆษณาภายใต้แนวคิดว่า “สดชื่น มีชีวิตชีวา ช่วยย่อยอาหาร” คาเลบประสบความสำเร็จใน ธุรกิจเป็นอย่างมาก ด้วยผู้บรรจุขวดเป๊ปซี่-โคลา นักลงทุน และการตั้งกองทุนที่มั่นคงเพื่อการขยายองค์กร นับเป็นการวางรากฐานของกิจการ Pepsi-Cola ธุรกิจได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เขาได้ก่อตั้งสำนักงานใหญ่ Pepsi-Cola ที่สวยงามน่าทึ่งจนเมืองนิวเบิร์นต้องบันทึกเอาไว้ในภาพโปสการ์ด Pepsi-Cola เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ของอเมริกาที่เปลี่ยนการขนส่งจากการใช้รถม้าเป็นการใช้รถยนต์ และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่ม ปะทุขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนไป ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจพุ่งขึ้นสูงอย่างรุนแรง ราคาน้ำตาลผันผวนขึ้นลงสุดขั้ว และส่งผลต่อต้นทุนการผลิตเป๊ปซี่-โคลา จะกระทั่ง เป๊ปซี่-โคลาต้องประสบภาวะล้มละลายในปี 1923 คาเล บกลับไปยังร้านขายยาของตัวเองแล้วขายเครื่องหมายการค้าเป๊ปซี่-โคลาให้แก่ บริษัท คราเวน โฮลดิ้ง คอร์เปอเรชั่น นับเป็นครั้งแรกที่เป๊ปซี่-โคลามีเจ้าของหลายราย  ต่อมา รอย ซี. เม็กการ์เกล นายหน้าค้าหุ้นได้ซื้อเครื่องหมายการค้า Pepsi-Cola และได้พยายามดิ้นรนรักษาธุรกิจเอาไว้ให้ได้ และในปี 1931 Pepsi-Cola ก็ต้องประสบปัญหาล้มละลายอีกเป็นครั้งที่สอง จนกระทั่ง ชาร์ลส์ จี กัธ ผู้ผลิตลูกกวาดที่ได้รับความนิยมแห่งหนึ่งได้เข้ามากอบกู้ Pepsi-Cola ภายใต้การนำของกัธ Pepsi-Cola กลายมาเป็นสินค้าที่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง ภายใน 2 ปีหลังจากที่ขายกิจการ Pepsi-Cola ทำรายได้ 1 ล้านดอลลาร์ เป็นการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาใหม่อีกครั้ง  ในช่วงทศวรรษ 1930 Pepsi-Cola ได้เริ่มขยายธุรกิจไปยังนานาชาติ เครื่องหมายการค้า Pepsi-Cola ถูกจดทะเบียนในประเทศละตินอเมริกา และสหภาพโซเวียต รวมทั้งแพร่ขยายสาขาการบรรจุขวดไปยังแคนาดา ต่อมาสงครามโลกครั้งที่สองทำให้วิกฤติเดิมที่เคยเกิดขึ้นกลับ มาอีกครั้ง คือเกิดภาวะขาดแคลนน้ำตาล แต่แม็คผู้ซึ่งได้รับบทเรียนจากอดีตมาแล้ว จึงได้ซื้อฟาร์มอ้อยน้ำตาลในคิวบาเอาไว้ ทำให้เป๊ปซี่ก็ยังคงดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และยุคนี้เป็นยุคที่คนหนุ่มสาวทั้งชายและหญิงต้องสวมเครื่องแบบเพื่อรับใช้ ชาติในดินแดนอันห่างไกล ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดี และเพื่อดำรงความรู้สึกรักชาติเอาไว้ Pepsi-Cola จึงใช้สีแดง ขาว และ น้ำเงิน เป็นสีสันบนขวดจวบจนปัจจุบัน [1]

    ส่วนประกอบของน้ำอัดลม1.1 น้ำ เป็นส่วนประกอบหลักของน้ำอัดลม เป็นน้ำที่สะอาด อาจจะใช้น้ำประปา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากน้ำบาดาลที่ผ่านการกรองและฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน1.2 สารให้รสหวาน สารให้รสหวาน คือ น้ำตาลทราย นำมาผสมน้ำ แล้วต้มทำเป็นน้ำเชื่อมและกรอง ปัจจุบันมีการใช้สารให้ความหวานตัวอื่น เพิ่มมา เช่น น้ำเชื่อมข้าวโพด (Corn syrup) สารทดแทนความหวานเช่นแอสปาเทม1.3 สารปรุงแต่ง ที่เรียกกันว่าหัวน้ำเชื้อ ซึ่งจะเป็นส่วนผสมของสารที่ให้กลิ่นและสี กับกรดบางชนิดที่ใช้ในอาหาร เช่น กรดมะนาว หัวน้ำเชื้อจะนำมาผสมในน้ำเชื่อม1.4 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจะนำมาอัดลงในน้ำหวานที่ผสมไว้1.5 คาเฟอีน ในบางยี่ห้อ1.6 วัตถุกันเสีย[2]ประเภทของน้ำอัดลมถ้าแบ่งน้ำอัดลมตามลักษณะเฉพาะของสีและกลิ่น ที่มีจำหน่ายทั้งแบบบรรจุขวดและแบบกระป๋อง สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือประเภทที่ 1 เป็นน้ำอัดลมรสโคล่า น้ำอัดลมประเภทนี้ปรุงแต่งด้วยหัวน้ำเชื้อโคล่าซึ่งมีคาเฟอีนที่สกัดจากส่วนใบของต้นโคคาผสมอยู่ด้วย ปริมาณคาเฟอีนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำอัดลมที่แตกต่างกันไป สำหรับสีน้ำตาลเข้มที่เป็นที่มาของสีน้ำดำหรือสีโคล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากสีผสมอาหารที่เป็นสีน้ำตาลไหม้ประเภทที่ 2 เป็นน้ำอัดลมที่ไม่ใช่โคล่า ได้แก่ น้ำอัดลมที่ปรุงแต่งกลิ่นรสเลียนแบบน้ำผลไม้เช่น ส้ม มะนาว หรือองุ่น น้ำหวานอัดลมพวกน้ำเขียว น้ำแดง และน้ำอัดลมที่สีเหมือนโคล่าแต่ไม่ใช่คือ รู้ทเบียร์ น้ำอัดลมเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีคาเฟอีน เนื่องจากไม่ได้ปรุงแต่งด้วยหัวน้ำเชื้อชนิดโคล่า อย่างไรก็ตามอาจมีการเติมคาเฟอีนสกัดเล็กน้อยในส่วนผสม เพื่อให้ได้ฤทธิ์กระตุ้นของคาเฟอีนทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปล่าเมื่อดื่มด้วย[3]ข้อดีของน้ำอัดลมหลายคงอาจจะเคยได้ยินถึงข้อเสียของน้ำอัดลมว่าทำให้อ้วนบ้าง ทำให้ฟันผุบ้าง แต่จะรู้หรือไม่ ว่าของที่เขาว่ากันเสียๆ หายๆ อย่างนี้ก็มีประโยชน์เหมือนกัน เมื่อนำมาใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและถูกกับโรค1. ช่วยบรรเทาอาการไอน้ำอัดลมมีต้นกำเนิดจากการผสมยาแก้ไอที่ผิดสูตร สังเกตได้จากน้ำที่มีสีดำคล้ายยาแก้ไอและมีรสหวานชุ่มคอ เรียกได้ว่าความผิดพลาดครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดน้ำมหัศจรรย์ที่ใครหลายๆ คนชอบรสชาติของมันจนกินเข้าไปเกินขนาดและอ้วนในที่สุด แต่ถ้าหากจะใช้ให้ถูกวิธี ยาแก้ไอและน้ำอัดลมมีโครงสร้างที่เคมีที่คล้ายกันมาก แต่ต่างกันตรงที่น้ำอัดลมนั้นมีน้ำตาลและอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้เกิดฟองซ่าเข้าไป ดังนั้น ถ้าใครมีอาการไอหรือเจ็บคอ ก็สามารถจิบน้ำอัดลมเข้าไปทีละนิด เพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองที่คอได้ แต่ทางที่ดี ถ้ามีเวลาก็ควรแวะไปให้คุณหมอตรวจดูอาการให้แน่ชัดเช่นกัน2. ช่วยลดไข้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อัดอยู่ในน้ำอัดลมนั้น เมื่อรวมตัวกับน้ำจะกลายเป็นกรดคาร์บอนิกที่สามารถกัดกร่อนหินปูนและฟันในปากของเราให้ผุได้ก็จริง แต่ก็เป็นยาลดไข้รสชาติดีในราคาถูกแสนถูกที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้เช่นกัน โดยปกติแล้ว ถ้าเรามีไข้ก็สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลหรือยาเพนนิซิลินเพื่อลดไข้ได้ แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเพนนิซิน เพราะอาจมีเลือดออกใต้ชั้นผิวหนังและอวัยวะภายในได้ ทั้งนี้การเช็ดตัวเพื่อลดอุณหภูมิ หรือห่มผ้าหนาๆ ให้เหงื่อออกก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดไข้ หากใช้ทุกวิธีที่กล่าวมานี้แล้วไข้ยังไม่ลด ก็จำเป็นต้องพึ่งน้ำอัดลมในการลดไข้ เนื่องจากกรดคาร์บอนิกจะแตกตัวออกเป็นน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งปฏิกริยยาเคมีในการแยกสารออกจากันเช่นนี้จะเกิดการดูดความร้อนเข้าไปก่อนจึงจะสลายตัวได้ การดื่มน้ำอัดลมเข้าไปในปริมาณเล็กน้อย จะช่วยทำให้อุณหภูมิภายในลดลง นอกจากนี้การนำกระป๋องน้ำอัดลมแช่เย็นมาประคบที่หน้าผาก ก็เป็นอีกวิธีในการลดความร้อนจากไข้ได้เช่นกัน แต่ถ้าหากเป็นไข้สูงเกินกว่า 38.5 องศา ก็ควรรับประทานยาที่ใช้สำหรับลดไข้สูงโดยเฉพาะ คือ ไอบูโพรเฟน ซึ่งแนะนำให้ใช้เฉพาะในผู้ใหญ่เท่านั้น สำหรับเด็กถ้าจะใช้ยาตัวนี้ ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์โดยตรง[4]โทษของน้ำอัดลม– ทำให้กระดูกพรุน ฟันผุ ทั้งนี้เพราะในน้ำอัดลมีกรดฟอสฟอริกซึ่งเกิดจากฟอสฟอรัสจากกำมะถัน ในเลือดของคนเรานั้นมีสัดสัดที่ต้องการแคลเซียม 2 ต่อ ฟอสฟอรัส 1 และเมื่อเราดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปจะทำให้เลือดของเรามีปริมาณฟอสฟอรัสมากเกินไปทำให้เกิดการเสียสมดุลทำให้ร่างกายจะต้องไปดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ เมื่อกระดูกขาดแคลเซียมไปจึงทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้คาเฟอีนที่อยู่ในน้ำอัดลมนั้นทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้นจึงทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมจากการปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น– โรคอ้วน ปริมาณน้ำตาลที่เราควรรับประทานต่อวันคือ 24 กรัม แต่ในน้ำอัดลม1 กระป๋องมีน้ำตาลมากถึง 30 กรัม เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปอาจจะทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพเพราะได้รับปริมาณน้ำตาลเข้าไปในร่างกายมากเกินไปซึ่งอาจจะทำให้เป็นโรคอ้วน เบาหวาน ดังนั้นควรลดการดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำหวานให้น้อยลงเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของคุณ– กรดคาร์บอนิกในน้ำอัดลม ซึ่งเป็นกรดที่ทำให้น้ำอัดลมมีฟอง ซ่า กรดคาร์บอนิกนั้นสามารถย่อยมีฤทธิ์กัดกร่อยย่อยสลายหินปูนได้ ฉะนั้นกรดคาร์บอนิกจึงสามารถทำให้ฟันผุและกระดูกพรุนได้เช่นกัน– นอนไม่หลับ ใจสั่น มือสั่น เนื่องจากฤทธิ์ของคาเฟอีนที่เป็นองค์ประกอบในน้ำอัดลมไปกระตุ้นระบบประสาทนั่นเอง– ท้องอืด ปวดท้อง แน่นท้อง เป็นโรคกระเพาะ[5]

    1. https://www.dek-d.com/board/view/3044630/
    2. https://w5015.wordpress.com/2016/02/15/%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%A1/
    3. https://sites.google.com/a/muk.ac.th/blue-s/sara-na-ru-xahar-laea-kheruxng-dum-nay-nath-phl-chay-thwip/praphethkhxngnaxadlm
    4. https://www.honestdocs.co/you-may-never-know-soft-drinks-beneficial-consumer-at-right-amount
    5. https://www.xn--12