สถาปัตยกรรม ของ บริเวณกลางโบสถ์

บริเวณกลางโบสถ์เป็นเป็นส่วนประกอบของสิ่งก่อสร้างหลักภายในของคริสต์ศาสนสถานเช่นมหาวิหาร, บาซิลิกา หรือแอบบีของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์หรือสถาปัตยกรรมกอธิค บริเวณกลางโบสถ์ในสมัยกอธิคจะเน้นความยาวและความสูง เมื่อมาถึงสมัยบาโรกทรงวัดก็เปลี่ยนไปตามปรัชญาของการปฏิรูปศาสนาของนิกายโรมันคาทอลิก ที่ทำให้วัดมีลักษณะกลมขึ้นเพื่อแสดงความเสมอภาค ความยาวของบริเวณกลางโบสถ์จึงหดสั้นลงตามลำดับจนบางครั้งก็แทบจะไม่มีเหลือ แต่กระนั้นช่องทางเดินที่นำไปสู่แท่นบูชาเอกก็ยังเรียกกันว่า “บริเวณกลางโบสถ์”

การก่อสร้างสิ่งก่อสร้างเช่นคริสต์ศาสนสถานส่วนใหญ่แล้วก็จะใช้เวลาสร้างกันทีละนานๆ บางครั้งก็อาจจะเป็นร้อยๆ ปี ตามแต่งบประมาณจะอำนวย บางครั้งก็จะก่อสร้างส่วนประกอบอื่นๆ ที่ได้รับสถาปนา (consecrate) ก่อนที่จะมาสร้างบริเวณกลางโบสถ์ให้เสร็จ บางครั้งการสร้างบริเวณกลางโบสถ์ก็อาจจะไม่เสร็จตามแผนที่วางไว้แต่เดิม หรือลักษณะการก่อสร้างอาจจะเปลี่ยนไปตามรสนิยมทางสถาปัตยกรรมที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา การสร้างบริเวณกลางโบสถ์ก็อาจจะถูกทิ้งไว้โดยไม่ทำให้เสร็จ การก่อสร้างตัวทางเดินแบ่งเป็นช่วงๆ เป็นช่วงช่องทางเดิน (bay) แต่จะเป็นจำนวนกี่ช่วงนั้นก็แล้วแต่ขนาดและงบประมาณของวัด

ความสูงของบริเวณกลางโบสถ์ก็อาจจะสูงพอที่จะสร้างหน้าต่างชั้นบนเหนือหลังคาของส่วนที่เป็นทางเดินข้าง ลักษณะการก่อสร้างนี้มีอิทธิพลจากโครงสร้างแบบบาซิลิกาของสถาปัตยกรรมโรมันที่เป็นสิ่งก่อสร้างสำหรับใช้ในการศาลและที่พบปะเพื่อดำเนินธุรกิจของสาธารณะ

ในการก่อสร้างสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ใหญ่ๆ บางครั้งก็จะมีระเบียงแคบๆ ที่ใช้เป็ทางเดินเหนือช่องทางเดินข้างที่เรียกว่าระเบียงแนบ แต่ต่อมาส่วนนี้ก็เลิกทำกันไป เพื่อที่จะสร้างทางเดินข้างให้ต่ำลงเพื่อที่จะทำให้สามารถขยายบานหน้าต่างให้กว้างและสูงขึ้นแทนที่หน้าต่างชั้นบนเช่นในมหาวิหารบาธ

จุดที่ “แขนกางเขน” (transept) ตัดขวางกับบริเวณกลางโบสถ์เรียกว่า “จุดตัด” (crossing) เหนือจุดนี้อาจจะมีเพดานเป็นโดม, โดมตะเกียง, ยอดสูงแหลม, หอสี่เหลี่ยม หรือเป็นมณฑปที่ไม่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับสัดส่วนของวัด ถ้าเป็นโดมก็เป็นอิทธิพลมาจากคริสต์ศาสนสถานทางตะวันออกที่เข้ามาทางตะวันตกในสมัยยุคเรอเนสซองซ์เป็นครั้งแรกในงานออกแบบโดยฟีลิปโป บรูเนลเลสกีในการออกแบบบาซิลิกาซานโลเร็นโซในฟลอเรนซ์ ในการออกแบบวัดนี้บรูเนลเลสกีฟื้นฟูโครงสร้างของสถาปัตยกรรมทรงบาซิลิกาของโรมันโดยปรับปรุงรายละเอียดต่างๆ เช่นการตกแต่งเพดาน บรูเนลเลสกีใช้หน้าต่างชั้นบนในการเป็นทางให้แสงสาดลงมายังบริเวณกลางโบสถ์ที่ทำให้แตกต่างจากวัดอื่นๆ ที่ทึมมืดเพราะไม่มีช่องทางให้แสงส่องเข้ามาในวัด

การเพิ่มความสว่างของวัดนอกไปจากการใช้หน้าต่างชั้นบนแล้วก็ยังอาจจะใช้โดมที่เรียกว่า “โดมตะเกียง” (Lantern dom) ที่เป็นโดมยกลอยขึ้นไปเหนือจุดตัดและรับด้วยเสาหรือผนัง ระหว่างเสาหรือผนังก็เป็นจะเป็นหน้าต่างที่ให้แสงสาดลงมายังบริวณแขนกางเขนและบริเวณกลางโบสถ์ในบริเวณจุดตัดได้ จุดตัดอาจจะแยกจากบริเวณกลางโบสถ์ทางจักษุโดยการออกแบบให้มีลักษณะที่เด่นขึ้นหรือแตกต่างจากช่องทางเดินที่ตามปกติแล้วดูเป็นทางเดินตลอดแนวโดยไม่มีสิ่งใดมาขวางตา การสร้างความแตกต่างอาจจะทำด้วยการออกแบบให้พื้นที่ในบริเวณจุดตัดกว้างใหญ่กว่าช่วงซุ้มโค้งปกติที่แล่นมาตั้งแต่ทางเข้าและมีเพดานที่สูงกว่าสว่างกว่า ซึ่งเป็นการทำให้ดึงสายตาไปสู่บริเวณนั้น

บริเวณบริเวณกลางโบสถ์เป็นบริเวณสำหรับฆราวาสหรือผู้ที่มิใช่นักบวช (laity) ขณะที่มุขตะวันออก (Apse) ที่ประกอบด้วยบริเวณคริสต์ศาสนพิธี (chancel) และบริเวณร้องเพลงสวด (choir) เป็นบริเวณเฉพาะสำหรับนักบวช โดยมีฉากกางเขนแบ่งสองบริเวณนี้ แต่องค์ประกอบหลังนี้หายไปหลังจากการปฏิรูปคริสต์ศาสนาในคริสต์ศตวรรษที่ 16

ที่นั่งฟังเทศน์ (pew) แบบถาวรที่ตั้งสองข้างบริเวณกลางโบสถ์ที่มักจะเห็นกันอยู่ทุกวันนี้เป็นของใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาโดยโปรเตสแตนต์ ในสมัยก่อนหน้านั้นบริเวณกลางโบสถ์จะเป็นที่โล่งที่มักจะใช้เป็นที่พบปะค้าขายหรือตลาดในวันธรรมดา ฉะนั้นบริเวณกลางโบสถ์จึงอาจจะเป็นสถานที่ที่ไม่ค่อยจะสะอาดนัก ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้มีการสร้างฉากกางเขนขึ้นเพื่อแยกส่วนนี้ออกไปจากบริเวณของนักบวชก็เป็นได้

ใกล้เคียง

บริเวณบรอดมันน์ บริเวณเมดิเตอร์เรเนียน บริเวณกลางโบสถ์ บริเวณความกดอากาศต่ำ บริเวณแห้งแล้ง บริเวณร้องเพลงสวด บริเวณเวอร์นิเก บริเวณคริสต์ศาสนพิธี บริเวณเอช 2 บริเวณปาเลสไตน์