การสำเร็จราชการแทน ของ บลังกาแห่งกัสติยา

พระเจ้าฟิลิปสิ้นพระชนม์ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1223 หลุยส์และบลังกาได้รับการสวมมงกุฎในวันที่ 6 สิงหาคม[4] หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าหลุยส์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1226 จากโรคบิด[5] บลังกาที่ตอนนั้นพระชนมายุ 38 พรรษากลายเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและผู้พิทักษ์ของพระโอรสธิดา พระโอรสธิดาสิบสองหรือสิบสามคนของพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วหกคน หลุยส์ผู้เป็นทายาทซึ่งต่อมาคือพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 มีพระชนมายุเพียง 12 พรรษา[3] พระองค์หาทางให้หลุยส์ได้รับการสวมมงกุฎภายในหนึ่งเดือนหลังการสิ้นพระชนม์ของพระบิดา และบีบบังคับให้บารอนที่ไม่ค่อยเต็มใจนักสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อพระองค์ สถานการณ์อยู่ในภาวะวิกฤต เนื่องจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 8 สิ้นพระชนม์โดยที่ขุนนางทางใต้ยังไม่ได้จำนนต่อพระองค์เต็มร้อย ความเยาว์วัยของกษัตริย์ทำให้ราชวงศ์กาเปเซียงมีภัยมากขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งการสนับสนุน บลังกาปล่อยตัวแฟร์ดีน็อง เคานต์แห่งฟลานเดอส์ที่ถูกคุมขังมาตั้งแต่ครั้งยุทธการที่บูวีน พระองค์ยกดินแดนและปราสาทให้ฟิลิปที่ 1 เคานต์แห่งบูลอญ พระโอรสของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 กับพระมเหสีผู้เป็นที่โต้แย้ง แอนเญ็สแห่งเมราเนีย[6]

บารอนคนสำคัญหลายคน นำโดยปีแยร์ โมแกลร์ก ไม่ยอมรับการราชาภิเษกของกษัตริย์น้อย หลังการราชาภิเษกไม่นาน บลังกากับหลุยส์เดินทางไปตอนใต้ของปารีสและเกือบถูกจับกุมตัว บลังกาอ้อนวอนประชาชนของปารีสให้ปกป้องกษัตริย์ พลเมืองเรียงตัวบนถนนเพื่อคุ้มกันพระองค์ขณะที่ทรงเดินทางกลับไป

บลังกาตั้งกองทัพขึ้นมาโดยมีตีโบที่ 4 แห่งช็องปาญกับโรมาโน โบนาเวนตูรา ผู้แทนพระสันตะปาปาในฝรั่งเศสให้ความช่วยเหลือ การจัดตั้งกองทัพอย่างกะทันหันทำให้กลุ่มขุนนางชะงักกลางคัน บลังการวบรวมกองทัพขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์ของราชวงศ์กาเปเซียงจากขุนนางที่เป็นกบฏและพระเจ้าเฮนรีที่ 3 แห่งอังกฤษเป็นจำนวนสองครั้ง บลังกาทำการโจมตีอย่างเหนือความคาดหมายในฤดูหนาว ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1229 พระองค์นำกองทัพเข้าโจมตีโมแกลร์กและบีบให้กลุ่มขุนนางยอมรับกษัตริย์ พระองค์ร่วมเดินทางไปกับกองทัพและช่วยเก็บฟืนมาสร้างความอบอุ่นให้เหล่าทหาร[7] แต่ใช่ว่าทุกคนจะพอใจการบริหารปกครองของพระองค์ ศัตรูของพระองค์เรียกพระองค์ว่า "ดามแอร์ซ็อง" (หมาป่าในนิทานเรื่อง รอม็องเดอเรอนาร์)[4]