ประวัติ ของ บอดี้สแลม

อาทิวราห์ คงมาลัย (ตูน) นักร้องนำและนักแต่งเพลงของวงบอดี้สแลม

ช่วงแรกของวง (พ.ศ. 2539–2541)

ดูบทความหลักที่: ละอ่อน

บอดี้สแลมเริ่มต้นด้วยวง ละอ่อน ในปี พ.ศ. 2539 วงได้ชนะการประกวดวงดนตรีฮอตเวฟมิวสิกอวอร์ดส์ และได้ออกจำหน่ายอัลบั้มกับค่ายมิวสิก บั๊กส์ ในชื่อ ละอ่อน ในปี พ.ศ. 2540 ด้วยแนวเพลงป็อปร็อก เพลงหนึ่งในอัลบั้ม "ได้หรือเปล่า" เป็นเพลงที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดของวง ต่อมา ตูนกับเภาขอออกจากวงไป และได้ปั้น (Basher) มาร้องนำวงละอ่อนแทนตูน และได้ออกอัลบั้มชุดที่สอง เทพนิยายนายเสนาะ ในปี พ.ศ. 2541 แต่หลังจากนั้นวงก็ได้แยกย้ายกันไปเรียนต่อ[2]

อัลบั้ม บอดี้สแลม และ ไดรฟ์ (พ.ศ. 2545–2547)

ตูนและเภาได้ก่อตั้งวงขึ้นใหม่และสมาชิกใหม่ในปี พ.ศ. 2545 ด้วยชื่อวงว่า บอดี้สแลม ซึ่งมีเปลี่ยนแนวเพลงไปเป็นร็อกที่หนักหน่วงมากขึ้น ด้วยสมาชิกเพียงสามคนที่เหลืออยู่ ได้แก่ อาทิวราห์ คงมาลัย (ตูน) นักร้องนำ, ธนดล ช้างเสวก (ปิ๊ด) มือเบส และรัฐพล พรรณเชษฐ์ (เภา) มือกีตาร์ วงอธิบายว่า ที่มาของชื่อนี้มาจากชื่อท่าหนึ่งของมวยปล้ำ แต่ถ้าแปลความหมายตรงตัว "บอดี้" แปลว่า "ร่างกาย" ส่วน "สแลม" แปลว่า "การทุ่ม" เมื่อนำมารวมกันเป็น "บอดี้สแลม" ก็จะมีนิยามที่ว่า "การทุ่มสุดตัว" คือการทำงานเพลงกันเต็มที่แบบทุ่มสุดตัว วงได้ออกจำหน่ายอัลบั้มชุดแรกของวงชื่อว่า บอดี้สแลม ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2545 และได้ประสบความสำเร็จ โดยมีเพลงฮิตอย่าง "งมงาย", "ย้ำ" และ "สักวันฉันจะดีพอ"[3]

ต่อมาได้ออกวางจำหน่ายอัลบั้มชุดที่สอง ไดรฟ์ (Drive) ในปี พ.ศ. 2546 โดยมีเพลงฮิตอย่าง "ปลายทาง" "ความซื่อสัตย์" "ชีวิตที่ฉันเหลืออยู่" และ "หวั่นไหว" และได้ชนะรางวัลมิวสิกวิดีโอในสาขา "กลุ่มศิลปินที่เป็นที่ชื่นชอบ" ในมิวสิกวิดีโอของเพลง "ปลายทาง"[4] ในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2547 บอดี้สแลมได้ออกคอนเสิร์ต HOTWAVE LIVE: BODYSLAM MAXIMUM LIVE จัด ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตที่ทาง 91.5 ฮอตเวฟ จัดให้โดยเป็นคอนเสิร์ตครั้งแรกของวง โดยมีศิลปินรับเชิญคือ ปู แบล็คเฮด, อ๊อฟ บิ๊กแอส และป๊อด โมเดิร์นด็อก

อัลบั้ม ความเชื่อ (พ.ศ. 2548–2549)

หลังจากอัลบั้มที่สอง บอดี้สแลมได้มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย วงได้ออกจากค่ายมิวสิก บั๊กส์และได้เซ็นสัญญากับจีนี่เรคคอร์ดสในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ค่ายเพลงใหญ่ของประเทศไทย ต่อมามือกีตาร์ของวง รัฐพล พรรณเชษฐ์ (เภา) ได้ออกจากวงบอดี้สแลม และออกอัลบั้มเดี่ยวในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2548 ในอัลบั้มชื่อ Present Perfect สังกัดค่ายสนามหลวง ทำให้บอดี้สแลมเหลือสมาชิกวงอยู่ 2 คน จึงได้หามือกีตาร์คนใหม่ คือ ธนชัย ตันตระกูล (ยอด) และให้ สุชัฒติ จั่นอี๊ด (ชัช) มือกลองแบ็คอัพมาเป็นสมาชิกวงเต็มตัว ออกสตูดิโออัลบั้มชุดที่สามของวง บีลีฟ (Believe) ในปี พ.ศ. 2548 โดยทางวงประสบความสำเร็จอย่างสูง มีเพลงฮิตอย่าง "ขอบฟ้า" "ห้ามใจ" "ความรักทำให้คนตาบอด" "พูดในใจ" "รักก็เป็นอย่างนี้" "ชีวิตเป็นของเรา" "คนที่ถูกรัก" และ "ความเชื่อ" ซึ่งเพลงนี้ต่อมาได้กลายเป็นเพลงสัญลักษณ์ประจำวงบอดี้แสลมในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 บอดี้สแลมได้ออกคอนเสิร์ตวันคุ้มครองโลกในชื่อ บอดี้สแลมบิลีฟคอนเสิร์ต ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี โดยมีแขกรับเชิญ 2 คน คือ บอย พีซเมกเกอร์ และรัฐพล พรรณเชษฐ์ อดีตมือกีตาร์ของวง ในวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ได้ออกคอนเสิร์ตบิ๊กบอดี้ (Big Body) ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี โดยจัดร่วมกับวงบิ๊กแอส และได้แสดงร่วมกับวงบิ๊กแอสอีกครั้งในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2549 ในคอนเสิร์ตเอ็มร้อยห้าสิบ สุดชีวิตคนไทย ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี และยังได้แสดงร่วมกับโปเตโต้, เสก โลโซ, ลานนา คัมมินส์ และไมค์ ภิรมย์พร

อัลบั้ม เซฟมายไลฟ์ (พ.ศ. 2550–2551)

ในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2550 บอดี้สแลมได้ออกจำหน่ายสตูดิโออัลบั้มชุดที่สี่ เซฟมายไลฟ์ (Save My life) มีเพลงฮิตอย่าง "แค่หลับตา" "นาฬิกาตาย" "อกหัก" "เสี้ยววินาที" "คนมีตังค์" และ "ยาพิษ" ทางวงเองได้ออกคอนเสิร์ตใหญ่ในกรุงเทพในต้นเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ในวันที่ 20–21 ตุลาคม พ.ศ. 2550 บอดี้สแลมได้ออกคอนเสิร์ตบอดี้สแลมเซฟมายไลฟ์ ที่อินดอร์ สเตเดี้ยม หัวหมาก โดยมีแขกรับเชิญ ได้แก่ โก้ มิสเตอร์ แซกแมน (Koh Mr.Saxman) ร่วมแสดงในเพลง "นาฬิกาตาย", ปู พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ ร่วมแสดงในเพลง "ความเชื่อ" "แม่", ปนัดดา เรืองวุฒิ ร่วมแสดงในเพลง "แค่หลับตา", แอ๊ด คาราบาว ร่วมแสดงในเพลง "ความเชื่อ" "รักต้องสู้", และทีมเชียร์ลีดเดอร์จากมหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมแสดงในเพลง "ท่านผู้ชม"

ความสำเร็จจากอัลบั้มใหม่ทำให้วงมีแฟนคลับขนาดใหญ่ขึ้น และกลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย อัลบั้ม เซฟมายไลฟ์ ได้ชนะในสีสันอะวอร์ด ครั้งที่ 20 ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 สาขาศิลปินกลุ่มร็อกยอดเยี่ยม อัลบั้มร็อกยอดเยี่ยม และเพลงร็อกยอดเยี่ยม สำหรับเพลง "ยาพิษ"[5] และได้ออกคอนเสิร์ตในวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ในชื่อคอนเสิร์ต EVERY BODYSLAM CONCERT ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี[6] โดยมีศิลปินรับเชิญ ได้แก่ ฟักแฟง โน มอร์ เทียร์-ไปรยา มลาศรี ในเพลง "แค่หลับตา" และบุดด้าเบลส

อัลบั้ม คราม (พ.ศ. 2552–2555)

ซิงเกิล "คราม" ออกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 พร้อมกับสตูดิโออัลบั้มชุดที่ห้าของวง คราม ออกจำหน่ายในกลางปี พ.ศ. 2553 (หลังจากเลื่อนไปเป็นมิถุนายน พ.ศ. 2553 จากการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553) อัลบั้มนี้มีเพลงฮิตอย่าง "คราม" "คิดฮอด"[7] "โทน" "แสงสุดท้าย" "ทางกลับบ้าน" "ความรัก" "สติ๊กเกอร์" "เงา" "ปล่อย" และ "เปราะบาง" วงได้ออกแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ที่เรียกว่า บอดี้สแลมไลฟ์อินคราม ที่ราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ด้วยผู้ชมมากกว่า 65,000 คน[8] โดยมีศิลปินรับเชิญ ได้แก่ ศิริพร อำไพพงษ์ ในเพลง "คิดฮอด", อุ๋ย บุดด้าเบลส และฟักกลิ้ง ฮีโร่ ในเพลง "สติ๊กเกอร์", และวงบิ๊กแอส[9] และได้สำเร็จทัวร์ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554 ด้วยคอนเสิร์ต บอดี้สแลมไลฟ์อินลาว : เวิลด์ทัวร์ ที่สนามกีฬาแห่งชาติลาว และในปี พ.ศ. 2555 ได้จัดคอนเสิร์ต บอดี้สแลมนั่งเล่น ที่อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 1 (Impact Exhibition Hall 1) ในวันที่ 10–12 กุมภาพันธ์[10][11]

อัลบั้ม ดัม-มะ-ชา-ติ (พ.ศ. 2556–2560)

สตูดิโออัลบั้มชุดที่หกของวง ดัม-มะ-ชา-ติ (Dharmajāti) ในภาษาสันสกฤตหมายถึง "ธรรมชาติ" โดยอัลบั้มนี้จะเน้นไปทางเกี่ยวกับชีวิตและมีแนวเพลงไปทางโพรเกรสซิฟร็อก ออกจำหน่ายในวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557[12] มีเพลงดังอย่าง "เรือเล็กควรออกจากฝั่ง" "ปลิดปลิว" "ดัม-มะ-ชา-ติ" "รักอยู่ข้างเธอ" "ชีวิตยังคงสวยงาม" "ความฝันกับจักรวาล" และ "คิดถึง" และมีกำหนดการออกคอนเสิร์ตบอดี้สแลม ปรากฏการณ์ ดัม-มะ-ชา-ติ โดยเป็นการทัวร์คอนเสิร์ตเต็มรูปแบบครั้งแรกของวง เพื่อสนับสนุนอัลบั้ม โดยเริ่มแสดงตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557 – 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558[13] และเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ยุทธนา บุญอ้อม ได้ประกาศยกเลิกทัวร์ บอดี้สแลม ปรากฏการณ์ ดัม-มะ-ชา-ติ ที่เหลือทั้งหมด โดยจัดที่จังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดสุดท้าย ในการจบการแสดงคอนเสิร์ต [14]

ในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 วงบอดี้แสลมจัดคอนเสิร์ต คอนเสิร์ตบอดี้สแลมสิบสาม เพื่อครบรอบ 13 ปีของทางวง ที่ริมทะเลสาบเมืองทองธานี โดยมีศิลปินรับเชิญ ได้แก่ อัญชลี จงคดีกิจ[15] ร่วมแสดงในเพลง "รักอยู่ข้างเธอ" และ "แค่หลับตา", วงโมเดิร์นด็อก[16] ร่วมแสดงในเพลง "ปล่อย" "คนที่ถูกรัก" และ "ตาสว่าง", วงลาบานูน [17] ร่วมแสดงในเพลง "ตาสว่าง" "ยาม" และ "ปลิดปลิว", อ๊อฟ-กบ-หมู จากวงบิ๊กแอส[18][19] ร่วมแสดงในเพลง "งมงาย" "ความรักทำให้คนตาบอด" "ย้ำ" และ "อย่างน้อย", ศิริพร อำไพพงษ์ ร่วมแสดงในเพลง "คิดฮอด", รัฐพล พรรณเชษฐ์ ร่วมแสดงในเพลง "สักวันฉันจะดีพอ" และเพลง "บอดี้สแลม", กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ และอุ๋ย บุดด้า เบลส ร่วมแสดงในเพลง "สติ๊กเตอร์"[20]

วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ทางวงได้เผยแพร่เพลงใหม่ "เวลาเท่านั้น"[21][22]

อัลบั้ม วิชาตัวเบา (พ.ศ. 2561–ปัจจุบัน)

วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 บอดี้สแลมได้เผยแพร่เพลง"ใครคือเรา" เพลงแรกจากอัลบั้มชุดที่ 7 วิชาตัวเบา โดยแสดงสดครั้งแรกที่ลานอัฒจันทร์สยามสแควร์วัน กรุงเทพมหานคร เวลา 18.00 นาฬิกา พร้อมเผยแพร่มิวสิควิดีโอในเวลาเดียวกัน[23]

วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 บอดี้สแลมได้เผยแพร่เพลงที่สอง "วิชาตัวเบา" เป็นเพลงต่อมา ในเวอร์ชัน 360 VR [24][25]

วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561 บอดี้สแลมได้เผยแพร่เพลงที่สาม "แสงสวรรค์" และได้ถูกนำไปประกอบในหนัง "2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว"

วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561 บอดี้สแลมได้เผยแพร่เพลงที่สี่ "ครึ่ง ๆ กลาง ๆ" และได้ถูกนำไปประกอบในหนังสั้น ครึ่ง ๆ กลาง ๆ กำกับโดย นนทรีย์ นิมิบุตร [26]

วันที่ 9-10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 บอดี้สแลมได้จัดคอนเสิร์ตใหญ่ บอดี้สแลม เฟส วิชาตัวเบา ที่ราชมังคลากีฬาสถาน ด้วยจำนวนผู้ชมที่มากถึง 130,000 คน จากการจัดแสดงทั้ง 2 รอบ [27]