การเริ่มสภาพบุคคล ของ บุคคลธรรมดา

จากบทกฎหมายข้างต้นได้วางหลักไว้ว่าสภาพบุคคลจะเริ่มขึ้นได้นั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ1)การคลอด ในทางการแพทย์นั้นการคลอดจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อทารกออกมาทั้งตัว มีการตัดสายรกเรียบร้อยแล้วและมีการรอให้มดลูกหดตัวประมาณ 15 นาทีถึง 2 ชั่วโมงหลังเด็กคลอด แต่ในทางกฎหมายนี้จะถือว่าเป็นการคลอดได้ก็ต่อเมื่อทารกพ้นออกจากช่องคลอดทั้งตัวแล้วเท่านั้นพอ การตัดสายรกหรือไม่นั้นไม่ใช่สาระสำคัญ2) อยู่รอดเป็นทารก พูดง่ายๆก็คือคลอดแล้วทารกมีชีวิตอยู่นั่นเอง ซึ่งต้องอาศัยการแพทย์ในการบอกว่าทารกนั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่ โดยในทางกฎหมายจะถือว่าทารกที่คลอดออกมามีชีวิตนั้นต้องได้ความว่าเด็กมีการหายใจด้วย เช่นนี้ก็ถือว่ามีสภาพบุคคลเกิดขึ้นแล้ว ในทางกฎหมายเราจะไม่พิจารณาว่าจะต้องหายใจนานเท่าไหร่หรือหัวใจต้องเต้นกี่ครั้ง แม้มีการหายใจเพียงครั้งเดียวก็ถือว่าสภาพบุคคลเกิดแล้วถึงแม้ทารกนั้นอาจเสียชีวิตในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก็ตาม ซึ่งเมื่อมีสภาพบุคคลเกิดขึ้นก็มีผลทำให้ทารกนั้นมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายได้ เช่น มีสิทธิรับมรดกได้ มีสิทธิที่จะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดา และรวมไปถึงได้รับความคุ้มครองในด้านร่างกายหรือเสรีภาพ ฯลฯ ตามกฎหมายด้วยการจะเริ่มสภาพบุคคลนั้นจะต้องประกอบด้วยการคลอดและการอยู่รอดเป็นทารกด้วย ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ถือว่าไม่ครบหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย สภาพบุคคลย่อมไม่เกิด เราลองมาดูตัวอย่างกันเพื่อศึกษาถึงผลทางกฎหมายระหว่างการมีสภาพบุคคลและไม่มีสภาพบุคคลกันตัวอย่าง นาย ก แต่งงานกับนาง ข เกิดบุตรในครรภ์ขึ้นหนึ่งคน วันเกิดเหตุนาย ก และนาง ข ขับรถไปเที่ยวทะเลด้วยกัน เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางขึ้น นาย ก บาดเจ็บสาหัส ส่วนนาง ข บาดเจ็บเล็กน้อยแต่เกิดเจ็บท้องใกล้คลอดพอดี พลเมืองดีนำทั้งคู่ส่งโรงพยาบาล เมื่อไปถึงโรงพยาบาลนาง ข ก็คลอดออกมาพอดี ทารกมีชีวิตรอดแต่นาย ก เสียชีวิต เช่นนี้ทารกนั้นถือว่ามีสภาพบุคคลตามมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว มีสิทธิต่างๆตามกฎหมาย จึงมีสิทธิได้รับมรดกจากบิดาที่เสียชีวิตไป ในทางกลับกันถ้าอุบัติเหตุดังกล่าวมีผลทำให้ทารกในท้องเกิดเสียชีวิตลงหรือคลอดออกมาแล้วแต่ไม่มีการหายใจ(ไม่มีชีวิต)หรือก็คือนาง ข ได้แท้งลูกนั่นเอง เช่นนี้ก็ถือว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย ทารกนั้นไม่มีสภาพบุคคลไม่มีสิทธิตามกฎหมาย จึงไม่อาจรับมรดกจากบิดาได้[2]


การสิ้นสภาพบุคคล

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 ได้วางหลักไว้ว่าสภาพบุคคลนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อคลอดออกมาแล้วอยู่รอดเป็นทารกได้ และจะสิ้นสุดลงเมื่อบุคคลนั้นตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดการตายไว้สองประเภทคือ1).การตายตามธรรมชาติหรือการตายธรรมดา ซึ่งเป็นการตายโดยสาเหตุต่างๆทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นตายตามอายุขัย ตายเพราะเจ็บป่วย ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือการตายที่เกิดจากการฆาตกรรม ฯลฯในทางกฎหมายไม่ปรากฏว่าการตายต้องมีลักษณะอย่างไร จึงต้องอาศัยหลักวิชาการทางการแพทย์ ซึ่งในทางการแพทย์นั้นจะถือว่าบุคคลตายเมื่อ “แกนสมองตาย” แกนสมองเป็นส่วนของสมองที่ต่อเชื่อมไขสันหลังกับสมองใหญ่ ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของประสาทรัความรู้สึกต่างๆเข้าสู่สมองใหญ่ ดังนั้นหากก้านสมองตายจะทำให้บุคคลนั้นหมดความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ระบบสำคัญต่างๆในร่างกายมนุษย์ก็จะเริ่มหยุดทำงาน แม้จะมีเครื่องช่วยหายใจก็ตาม แต่หัวใจก็จะทำงาต่อได้อีก​ 48-72 ชั่วโมงเท่านั้นก็จะหยุดทำงาน แต่กรณีที่เพียงส่วนที่เป็นเปลือกสมองตาย โดยอาจมีสาเหตุมาจาก การขาดากาศชั่วคราว ได้รับบาดเจ็บจนเปลือกสมองได้รับความเสียหาย ฯลฯ ระบบต่างๆของร่างกายยังทำงานต่อได้ เพียงแต่บุคคลนั้นอาจไม่รู้สึกตัว เป็นเจ้าชายนิทรา แต่อาจรับรู้ความเจ็บปวดได้ ฯลฯ เช่นนี้ทางการแพทย์ยังไม่ถือว่าสมองตาย บุคคลนั้นยังไม่ตายในทางการแพทย์รวมไปถึงในทางกฎหมายด้วย2).การสาบสูญหรือการตายโดยผลของกฎหมาย ซึ่งกฎหมายได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ดังนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

  1. นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ใน การรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว
  2. นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป
  3. นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

หลักเกณฑ์ทั่วไปที่จะถือว่าบุคคลใดเป็นคนสาบสูญนั้น เมื่อพิจารณาจากมาตรา 61 วรรคแรกแล้วพอจะสรุปได้ดังนี้

  • บุคคลธรรมดาไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่
  • ไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หรือก็คือไม่มีใครทราบข่าวคราวหรือไม่มีผู้ใดพบเห็นบุคคลนั้น คำว่าไม่มีใครทราบข่าวคราวในที่นี้ หมายถึงคนในครอบครัว ผู้ที่รู้จัก หรือผู้ที่คอยติดตามข่าวคราวของบุคคลดังกล่าวนั้นอยู่ไม่มีใครได้รับข่าวคราวของบุคคลนั้นเลย
  • เป็นระยะเวลาถึง 5 ปี หมายถึงบุคคลนั้นไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครพบเห็นหรือทราบข่าวคราวอีกเลยเป็นระยะเวลาถึง 5 ปี
  • ศาลมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญจึงจะถือว่าบุคคลนั้นเป็นสาบสูญแล้ว ถ้าศาลยังไม่มีคำสั่งก็ยังไม่ถือว่าบุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ
  • การร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญนั้น ผู้มีสิทธิร้องขอคือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการ ผู้มีส่วนได้เสียนั้นคือผู้ที่อาจได้รับประโยชน์หรือเสียประโยชน์ หรือได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิอย่างใดๆในการที่ศาลมีคำสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้นเป็นผู้สาบสูญ เช่น บิดามารดา ทายาท หรือภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลดังกล่าวที่ศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ซึ่งในเรื่องส่วนได้เสียนั้นเราอาจจะเห็นได้ชัดๆจากเรื่องมรดก หรือทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา ฯลฯ

ใกล้เคียง

บุคคล บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2567 บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2566 บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2565 บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2561 บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2563 บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2564 บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2562 บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2559 บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2555