ประวัติศาสตร์ ของ ประเทศเวียดนามใต้

ประวัติศาสตร์เวียดนาม
ราชวงศ์ห่งบ่าง2879–258 ปีก่อนคริสต์ศักราช
ราชวงศ์ถุก257–207 ปีก่อนคริสต์ศักราช
ราชวงศ์เจี่ยว207–111 ปีก่อนคริสต์ศักราช
การปกครองของจีนครั้งแรก111 ปีก่อนคริสต์ศักราช – 40
พี่น้องจึง40–43
การปกครองของจีนครั้งที่สอง43–544
ราชวงศ์ลี้ยุคก่อน544–602
การปกครองของจีนครั้งที่สาม602–938
ราชวงศ์โง939–967
ราชวงศ์ดิญ968–980
ราชวงศ์เลยุคก่อน980–1009
ราชวงศ์ลี้1009–1225
ราชวงศ์เจิ่น1225–1400
ราชวงศ์โห่1400–1407
การปกครองของจีนครั้งที่สี่1407–1427
ราชวงศ์เล1428–1788
ราชวงศ์หมัก1527–1592
เจ้าตระกูลจิ่ญ1545–1787
เจ้าตระกูลเหงียน1558–1777
ราชวงศ์เต็ยเซิน1778–1802
ราชวงศ์เหงียน1802–1945
ลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก1883–1945
สาธารณรัฐประชาธิปไตย
 เวียดนาม
1945–1976
สาธารณรัฐเวียดนาม1955–1975
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามตั้งแต่ 1976
หัวเรื่องสืบเนื่อง
ราชวงศ์จามปา192–1471
ราชวงศ์ฟูนาน1–627
รายชื่อเมืองหลวงของประวัติศาสตร์เวียดนาม
รายพระนามกษัตริย์และจักรพรรดิแห่งเวียดนาม
ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของเวียดนาม
วัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์ของเวียดนาม

สถาปนา

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เวียดนามใต้ได้เปลี่ยนระบอบการปกครองตนเองเป็นสาธารณรัฐโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ตั้งแต่วันที่26 ตุลาคม พ.ศ.2498 ได้มีการเลือตั้งทั่วไป กษัตริย์องค์สุดท้าย สมเด็จพระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย สละราชสมบัติ นับแตได้มีกษัตริย์มา 1,000 กว่าปี

รัฐสภาของเวียดนามใต้มี 123 คน กลุ่มขวาจัดของโง ดิ่ญ เสี่ยมได้รับเลือกตั้งจึงได้เป็นประธานาธิปดี

ตามสนธิสัญญาเจนีวา ในปี 2497 เมื่อยุติสงครามอินโดจีนให้รวมเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้เข้าด้วยกัน แต่โง ดิ่ญ เสี่ยมเห็นว่าเวียดนามเหนือเข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์จึงประกาศไม่รับรองสนธิสัญญาเจนีวา โดยอ้างว่ารัฐบาลฝรั่งเศสมิได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้

สหรัฐอเมริกาก็ยับยั้งไม่ยอมให้เวียดนามเหนือเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหประชาชาติ เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จึงไม่ได้เป็นสมาชิกสหประชาชาติ[1]

การล่มสลาย

ดูบทความหลักที่: การยึดกรุงไซ่ง่อน

ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower และ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ John Foster Dulles เข้าพบประธานาธิบดี โง ดิ่ญ เสี่ยม เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 1957 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

เวียดนามใต้ได้รับความช่วยเหลืองบประมาณทางการทหารจากสหรัฐอเมริกาปีละ 200 ล้านดอลล่าร์ โดยเฉพาะในปี 1964 ได้รับมา 24,000 ล้านดอลล่าร์