ลักษณะ ของ ปลากัด

ครีบก้นยาวจรดครีบหาง หางแบนกลม มีอวัยวะช่วยหายใจบนผิวน้ำได้โดยใช้ปากฮุบอากาศโดยไม่ต้องผ่านเหงือกเหมือนปลาทั่วไป เกล็ดสากเป็นแบบทีนอยด์ ปกคลุมจนถึงหัว ริมฝีปากหนา ตาโต ครีบอกคู่แรกยาวใช้สำหรับสัมผัส ปลาตัวผู้มีสีน้ำตาลเหลือบแดงและน้ำเงินหรือเขียว ครีบสีแดงและมีแถบสีเหลืองประ ในขณะที่ปลาตัวเมียสีจะซีดอ่อนและมีขนาดลำตัวที่เล็กกว่ามากจนเห็นได้ชัด

ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5 - 6 เซนติเมตร พบกระจายอยู่ทั่วไปในแหล่งน้ำนิ่งตื้น ๆ ขนาดเล็กของที่ราบลุ่มทุกภาคส่วนในประเทศไทยเท่านั้น สถานะปัจจุบันในธรรมชาติถูกคุกคามจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปและสารเคมีที่ตกค้าง[3]

การกัดกันของปลากัดจีนตัวผู้

มีพฤติกรรมชอบอยู่ตัวเดียวในอาณาบริเวณแคบ ๆ เพราะดุร้ายก้าวร้าวมากในปลาชนิดเดียวกัน ตัวผู้เมื่อพบกันจะพองตัว พองเหงือก เบ่งสีเข้ากัดกัน ซึ่งในบางครั้งอาจกัดได้จนถึงตาย เมื่อผสมพันธุ์ ตัวผู้จะเป็นฝ่ายก่อหวอดติดกับวัสดุต่าง ๆ เหนือผิวน้ำ ไข่ใช้เวลาฟัก 2 วัน โดยที่ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลไข่และตัวอ่อนเอง โดยไม่ให้ปลาตัวเมียเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย[2]

เป็นปลาที่ชาวไทยรู้จักเป็นอย่างดีมาแต่โบราณ โดยปลากัดสายพันธุ์ดั้งเดิมจากธรรมชาติมักเรียกติดปากว่า "ปลากัดทุ่ง" หรือ "ปลากัดลูกทุ่ง" หรือ "ปลากัดป่า" จากพฤติกรรมที่ชอบกัดกันเองแบบนี้ ทำให้นิยมนำมาเลี้ยงใช้สำหรับกัดต่อสู้กันเป็นการพนันชนิดหนึ่งของชาวไทย และได้มีการพัฒนาสายพันธุ์และความสามารถในชั้นเชิงการกัดจนถึงปัจจุบัน จนเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศไทยและเป็นที่รับรู้ของชาวต่างชาติในชื่อ "Siamese fighting fish" โดย ฮิวจ์ แมคคอร์มิค สมิธ มีส่วนสำคัญที่ทำให้ปลากัดเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในระดับโลก โดยเขียนบทความชื่อ "The Fighting Fish of Siam" ลงในวารสารโคเพีย ฉบับที่ 159, วารสารไซเอนซ์ไดเจสต์ ฉบับที่ 2 และวารสารเนเชรัลฮิสทรี ฉบับที่ 39 โดยบรรยายถึงลักษณะเฉพาะตัวของปลากัด เช่น การพองตัวต่อสู้, การแข่งขันพนันกัดปลาในประเทศไทย รวมถึงการเพราะพันธุ์ปลากัดเพื่อการเลี้ยงเพื่อการพนันและความสวยงามอีกด้วย [2] นอกจากนี้แล้วในภาพยนตร์ชุดเจมส์ บอนด์ ของฮอลลีวู้ด เรื่อง From Russia with Love ในปี พ.ศ. 2509 ก็ได้มีการอ้างอิงถึงปลากัดในเชิงสัญลักษณ์ด้วย [4]

ในปัจจุบัน ปลากัดภาคกลางได้ถูกพัฒนาสายพันธุ์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น มีสีสันที่สวยงามและหลากหลายขึ้น เรียกว่า "ปลากัดหม้อ" นิยมเลี้ยงในภาชนะขนาดเล็กและแคบ เช่น ขวดโหล, ขวดน้ำอัดลม เป็นต้น อีกทั้งยังได้พัฒนาสายพันธุ์ในแง่ของความเป็นปลาสวยงามอีกหลายสายพันธุ์ เช่น "ปลากัดจีน" ที่มีเครื่องครีบยาว "ปลากัดแฟนซี" ที่มีสีสันหลากหลายสวยงาม "ปลากัดคราวน์เทล" หรือ "ปลากัดฮาร์ฟมูน" เป็นต้น

ในปี พ.ศ. 2556 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้ขึ้นทะเบียนปลากัดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ เช่นเดียวกับข้าวหอมมะลิ หรือลำตัด[5]