ปลาทิลาเพีย[2] (
อังกฤษ: Tilapia,
/tɪˈlɑːpiə/ ti-lah-pee-ə) เป็น
ชื่อสามัญของปลาน้ำจืดจำนวนมากนับร้อยชนิด จำพวก
ปลาหมอสี ใน
เผ่าปลาทิลาเพีย (โดยสกุลที่สำคัญ ได้แก่
Oreochromis,
[3] Sarotherodon[4] และ
Tilapia)
[5] พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในทวีปแอฟริกา โดยเป็นปลาที่พบได้ทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติต่าง ๆ เช่น หนอง, บึง, ทะเลสาบ, แม่น้ำ, เขื่อนกักเก็บน้ำต่าง ๆ มีประโยชน์เป็นปลาเศรษฐกิจสำหรับการบริโภคกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ คำว่า Tilapia เป็นรูปภาษาละตินของคำว่า thiape ใน
ภาษาสวานา แปลว่า "ปลา"
[6] และกลายมาเป็น
ชื่อสกุลทางวิทยาศาสตร์ซึ่งตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1840 โดย
แอนดรูว์ สมิท นักสัตววิทยา
ชาวสกอต และใช้เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืดหลายชนิดมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งมีการจำแนกออกเป็นสกุลใหม่ ๆ ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980
[2] แต่ปัจจุบัน ได้มีการจำแนกใหม่จนเหลือเพียงแค่ 4 ชนิด โดยการวิเคราะห์ทางดีเอ็นเอในปี ค.ศ. 2013
[7]ปัจจุบัน ปลาทิลาเพียเป็นปลาเศรษฐกิจน้ำจืดที่มีความสำคัญมากระดับโลก มีการนำเข้าและเพาะเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย เช่น
ปลานิล (Oreochromis niloticus) ในประเทศไทย ที่ถูกนำเข้ามาเมื่อปี ค.ศ. 1965 จนได้มีการพัฒนาเป็นสายพันธุ์ต่าง ๆ มากมายจาก
ชนิดพันธุ์ดั้งเดิม เช่น ปลานิลจิตรลดา, ปลานิลแดง, ปลาทับทิม หรือปลานิลซูเปอร์เมล นับเป็นปลาน้ำจืดลำดับต้น ๆ ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในประเทศ
[8]การเพาะพันธุ์ปลานิลในประเทศไทยเริ่มมีการบันทึกสถิติในปี ค.ศ. 1974 นับจากนั้นมา ปลานิลหน้าฟาร์มได้สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรไม่น้อยกว่า 107,000 ล้านบาท จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีการผลิตปลานิลไม่น้อยกว่า 220,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าหน้าฟาร์ม 12,000 ล้านบาท ปลานิลยังเป็นปลาน้ำจืดเพื่อการส่งออกที่มีศักยภาพสูงกว่าปลาชนิดอื่น ในปี ค.ศ. 2006
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) รายงานว่า ประเทศไทยสามารถผลิตปลานิลได้เป็นอันดับที่ 4 ของภูมิภาคเอเชีย รองลงมาจากประเทศจีน, ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
[9]และบางชนิดได้ถูกนำเข้ามาในฐานะ
ปลาสวยงาม เช่น
ปลาหมอบัตเตอร์ (Heterotilapia buttikoferi)
[10] และด้วยความที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ได้ง่าย จึงกลายมาเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในประเทศต่าง ๆ
[11] ในฐานะ
ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น เช่น สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย
[11] รวมถึงประเทศไทย
[8]เนื้อปลาทิลาเพียมีประโยชน์ทางโภชนาการ มีสารอาหารประเภท
โอเมกา3 ในสัดส่วนที่น้อยกว่า
โอเมกา6 และในทางการแพทย์ ทั้งเกล็ดและหนังปลาทิลาเพียยังนำมาประยุกต์ใช้รักษาแผลผิวหนังที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟไหม้หรือไฟลวกได้ดีอีกด้วย โดยมีการทดลองใช้ครั้งแรกในประเทศบราซิล โดยสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานถึง 2 ปี
[12]ในเคนยา ได้มีการใช้ปลาทิลาเพียในการกินลูกน้ำเพื่อการควบคุมและกำจัดยุงซึ่งเป็นพาหนะของ
โรคมาเลเรีย[13]