พระที่นั่งราชฤดี ก่อสร้างขึ้นหลายครั้ง ตั้งอยู่ที่ชานชาลาทางด้านทิศตะวันออกของ
พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน องค์แรก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นที่ประทับว่าราชการ เป็นตึกอย่างฝรั่งสองชั้น ภายในโถงตอนกลางยกพื้นสูง มีพระแท่นองค์ประธานอยู่ระหว่างเสา มีประตูรับเสด็จขึ้น หมู่พระมหามณเฑียรจากพระที่นั่งองค์นี้ทาง
หอพระสุราลัยพิมาน โปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่จัดแสดงสิ่งของนานาชาติ ส่งเข้ามาถวายมาเป็นพระราชไมตรีมาตั้งให้ทูตานุทูต พระราชอาคันตุกะ ตลอดจนข้าราชละอองธุลีพระบาทได้ชม ถือได้ว่าพระที่นั่งองค์นี้ เป็นต้นกำเนิดพิพิธภัณฑสถานแห่งแรกของไทย เมื่อสร้าง
พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ใน
พระอภิเนาว์นิเวศน์ จึงย้ายของไปไว้ที่พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์แทนเมื่อพระที่นั่งราชฤดีทรุดโทรมมาก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อแล้วปลูกเป็นเก๋งจีน ครั้นเมื่อทรุดโทรมอีก จึงให้รื้อไป และนำนามพระที่นั่งที่ไปพระราชทานเป็นนามพระที่นั่งโถงใน
พระราชวังดุสิตแทน หลังจากนั้น
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่ในบริเวณพระที่นั่งราชฤดีเดิม สำหรับสรงน้ำในพระราชพิธีต่าง ๆ พระราชทานนามว่า "พระที่นั่งจันทรทิพโยภาส" ต่อมา ได้มีประกาศพระบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2466 ให้เปลี่ยนพระนามเป็น "พระที่นั่งราชฤดี" (ส่วนพระที่นั่งราชฤดีภายในพระราชวังดุสิต เปลี่ยนเป็น "
ศาลาสำราญมุขมาตยา")
[1]พระที่นั่งราชฤดีมีลักษณะเป็นอาคารทรงไทยแบบพลับพลาตรีมุข เป็นพระที่นั่งโถง ยกพื้นสูง 70 เซนติเมตร ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้งปิดอง หลังคามุงกระเบื้องดินเผาเคลือบสี หน้าบันเป็นไม้จำหลักลายรูป
พระนารายณ์ทรง
สุบรรณ มีกระหนกก้านขดหัวนาคเป็นลายประกอบบนพื้นกระจกสี มีชานยื่นเลยจากองค์พระที่นั่งสองด้าน ด้านเหนือเป็นที่สำหรับพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าเสด็จฯ ออกทรงประกอบพิธีสังเวยเทพยดา ด้านทิศตะวันตกเป็นที่ตั้งแท่นสรงพระมูรธาภิเษกสนานในรัชกาลที่ 9 เมื่อพ.ศ. 2506 ทรงทำพิธีสรงมูรธาภิเษก ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 3 รอบ ณ พระที่นั่งราชฤดีองค์นี้