พระราชประวัติ ของ พระนางยอดคำทิพย์

พระชนม์ชีพช่วงต้น

พระนางยอดคำทิพย์ หรือนางยอดคำ ประสูติในราชวงศ์มังรายแห่งอาณาจักรล้านนา เป็นพระราชธิดาในพระเมืองเกษเกล้า ประสูติแต่พระนางจิรประภาเทวีพระอัครมเหสี เมื่อจำเริญพระชันษาขึ้นจึงได้อภิเษกสมรสเป็นอัครมเหสีของพระยาโพธิสาลราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง เพื่อหวังสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรทั้งสอง รวมทั้งเป็นการผนึกกำลังต่อต้านอิทธิพลของอาณาจักรอยุธยาที่ขยายตัวขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว[1] ใน พงศาวดารโยนก ระบุว่าพระนางยอดคำทิพย์ประสูติกาลพระราชบุตรจำนวนห้าพระองค์ได้แก่ เจ้าเชษฐวงศ์ (ต่อมาคือสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช), ท้าวท่าเรือ (เจ้ากิถนาวะราช), ท้าววรวงษ์ (เจ้าสีวละวงษาราชกุมาร), นางแก้วกุมารี และนางคำเหลา[6] ส่วนเอกสารที่รวบรวมโดยสิลา วีระวงส์นั้น เชื่อว่าพระนางยอดคำทิพย์มีสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว[7]

ในอาณาจักรล้านนา

ใน พ.ศ. 2081 เหล่าขุนนางมีอำนาจเหนือพระมหากษัตริย์ล้านนา แล้วร่วมกันปลดพระเมืองเกษเกล้าลงจากพระราชอำนาจแล้วส่งไปอยู่เมืองน้อย หลังจากนั้นจึงสถาปนาท้าวชายเสวยราชย์แทนแต่ครองราชย์ไม่นานก็ถูกลอบปลงพระชนม์ ขุนนางจึงยกพระเมืองเกษเกล้าให้กลับมาครองราชย์อีกครั้ง แต่ทว่าครองราชย์ได้เพียงสองปีก็ถูกขุนนางกลุ่มแสนคราวลอบปลงพระชนม์ แผ่นดินล้านนาว่างกษัตริย์ ขุนนางเกิดความแตกแยกเป็นหลายกลุ่ม และเกิดกลียุค[8] ภายหลังขุนนางกลุ่มเชียงแสนนำโดยพระนางจิรประภาเทวีได้กำจัดขุนนางกลุ่มแสนคราวได้สำเร็จ แล้วตั้งตนเป็นกษัตริย์ ในปี พ.ศ. 2088 เพื่อรอการเสด็จมาของท้าวอุปโย พระราชนัดดาผู้มีเชื้อสายราชวงศ์มังรายทางฝ่ายพระราชชนนีคือนางยอดคำ[9] ในช่วงเวลาที่พระนางจิรประภาเทวีเสวยราชย์นั้น ก็มีศึกติดพันอยู่ไม่ขาด พระองค์จึงทรงของกำลังทหารล้านช้างผ่านทางนางยอดคำให้มาช่วยเหลือ ก่อให้เกิดการแทรกแซงล้านนาโดยล้านช้าง[10]

เมื่อท้าวอุปโยเสด็จมาถึง พระนางจิรประภาเทวีจึงสละราชสมบัติแก่พระราชนัดดา[9] ท้าวอุปโยครองล้านนาช่วงปี พ.ศ. 2089-2090 จนกระทั่งพระยาโพธิสาลราชเสด็จสวรรคตกะทันหัน ท้าวอุปโยจึงเสด็จกลับล้านช้าง พร้อมกับพระนางยอดคำ, พระนางจิรประภา และพระแก้วมรกต แผ่นดินล้านนาจึงว่างกษัตริย์และเกิดกลียุคอีกครั้ง[10]

ในอาณาจักรล้านช้าง

เมื่อท้าวอุปโยเสด็จถึงเมืองหลวงพระบาง ก็ทรงปราบปรามพระราชอนุชาทั้งสอง แล้วเสวยราชสมบัติทรงพระนามว่าพระอุปภัยพุทธบวรไชยเชษฐาธิราชเมื่อ พ.ศ. 2091 ขณะมีพระชันษาเพียง 14 ปี ด้วยเหตุนี้การจัดการปกครองอาณาจักรจึงอยู่ในกำกับของพระนางยอดคำ ที่ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จบรมบพิตรเป็นเจ้าเหนือหัวพระราชมารดาอัครมหาเทวี[5] ถือเป็นพระเกียรติยศสูงสุดเทียบเท่าพระมหากษัตริย์[4] รวมทั้งพระนางจิรประภาเทวี พระอัยยิกาก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระไอยกามหาเทวเจ้า (พระราชอัยยิกาพระมหาเทวีเจ้า)[11] โดยอิทธิพลทางการเมืองของพระนางยอดคำยังคงอยู่จนกระทั่งปี พ.ศ. 2094 อันเป็นปีที่สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชสามารถปกครองอาณาจักรได้ด้วยตนเอง[12]

ใกล้เคียง

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี พระนางเธอ ลักษมีลาวัณ พระนางจามเทวี พระนางสิริมหามายา พระนางจิรประภาเทวี พระนามของพระเป็นเจ้าในศาสนาอิสลาม พระนารายณ์ราชนิเวศน์ พระนางวิสุทธิเทวี พระนางศุภยาลัต พระนางเหมชาลา พระทันทกุมาร