พระเจ้าคาร์ลที่ 13 แห่งสวีเดน (
สวีเดน: Karl XIII) เป็นกษัตริย์แห่งสวีเดนตั้งแต่ค.ศ. 1809 และได้ควบตำแหน่งกษัตริย์แห่งนอร์เวย์ตั้งแต่ค.ศ. 1814 จนเสด็จสวรรคต พระองค์เป็นพระโอรสของ
พระเจ้าอดอล์ฟ เฟรเดอริก กับพระนาง
ลูอีเซอ อุลรีเคอ แห่งปรัสเซีย (พระขนิษฐาใน
พระเจ้าฟรีดริชมหาราช)
[1] พระเจ้าคาร์ลที่ 13 ทรงเป็นกษัตริย์สวีเดนองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ฮ็อลชไตน์-ก็อททรอพ พระองค์ไม่มีพระบุตรสืบสัตติวงศ์ พระองค์ทรงรับจอมพลฝรั่งเศส
ฌ็อง-บาติสต์ แบร์นาด็อต ผู้ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดเลยเป็นพระโอรสบุญธรรม ซึ่งต่อมาแบร์นาด็อตได้ขึ้นสืบราชสมบัติต่อพระเจ้าคาร์ลที่ 13 กับพระนางเฮ็ทวิช ชาร์ล็อทเทอ ผู้มเหสี เคยให้กำเนิดพระโอรสสองพระองค์ แต่ทั้งสองพระองค์ล้วนสิ้นพระชนม์ในวัยทารก ด้วยไม่เห็นโอกาสให้กำเนิดพระบุตรอีก ทั้งสองจึงทรงรับเจ้าชายชาร์ล ออกัส แห่งเดนมาร์ก เป็นมกุฎราชกุมารบุญธรรมในปีค.ศ. 1810 อย่างไรก็ตาม เจ้าชายเชื้อเดนมาร์กพระองค์นี้กลับสิ้นพระชนม์เพียงไม่กี่เดือนหลังเสด็จถึงสวีเดน
[2] ทำให้ราชสำนักสวีเดนจึงคิดจะยกบัลลังก์ให้แก่
ราชวงศ์โบนาปาร์ตแห่งฝรั่งเศส แต่ไม่มีญาติพี่น้องคนไหนเลยของ
จักรพรรดินโปเลียนอาสารับหน้าที่นี้องคมนตรีสวีเดน คาร์ล อ็อทโท เมอร์เนอร์ (Karl Otto Mörner) ได้ยื่นข้อเสนอนี้ต่อจอมพลฌ็อง-บาติสต์ แบร์นาด็อต หนึ่งในแม่ทัพของนโปเลียน นโปเลียนไม่ได้คัดค้าน
[3] แบร์นาด็อตจึงสละสัญชาติฝรั่งเศสและหันมานับถือ
ลูเทอแรน[4] และกลายเป็นมกุฎราชกุมารคาร์ล โยฮัน
[5] ควบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระเจ้าคาร์ลที่มีพระพลานามัยย่ำแย่ อดีตจอมพลแบร์นาด็อตเป็นผู้มีความสามารถเก่งกาจ สามารถปกป้องสวีเดนท่ามกลาง
สงครามนโปเลียนที่สุ่มเสี่ยง และยังสามารถยึดนอร์เวย์มาจากเดนมาร์กได้อีกด้วยเมื่อมกุฎราชกุมารยึดนอร์เวย์มาจากเดนมาร์กในปีค.ศ. 1814 และตกลงกันได้ว่าสวีเดนจะยินยอมให้นอร์เวย์ใช้รัฐธรรมนูญของตนเองและมีอำนาจปกครองตนเอง พระเจ้าคาร์ลที่ 13 จึงได้ควบตำแหน่งกษัตริย์แห่งนอร์เวย์